ดูหนังต้องดูยาวๆ จนจบ ถึงจะรู้ว่าบทอวสานเป็นอย่างไร เช่นเดียวกับเรื่องราวของ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่เจ้าตัวก่อไว้เป็นบ่วงกรรมนั้น ยิ่งมาก็ยิ่งมัดตัว จนยากที่จะคลายออกได้
เพราะอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ไม่เคยทำอะไรอย่างตรงมาตรงไป คิดแต่ประโยชน์ของตนเอง ซึ่งที่ผ่านมามีแต่ข้าทาสบริวาร และข้าราชการประจำที่ยอมทอดตัวรับใช้ต้องรับกรรมแทน ติดคุกติดตะรางกันเป็นแถว ส่วนทักษิณรอด
หากย้อนกลับไปดูตั้งแต่ปี 2549 หลังจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี ถูก คปค. หรือ“คณะปฎิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ในขณะนั้นทำรัฐประหารยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยายน 2549 ระหว่างนั้น“ทักษิณ”อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อรอเข้าร่วมประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ที่นิวยอร์ก ในวันที่ 25 กันยายน 2549
เมื่อโดนยึดอำนาจ“กลางอากาศ”จะกลับเข้ามาเมืองไทยก็ไม่ได้ ต้องหลบไปอยู่ที่อังกฤษ เพื่อหาทางหนีทีไล่
หลบไปอยู่ที่อังกฤษเป็นเวลา 1 ปี 5 เดือน จึงกลับเข้ามาประเทศไทยเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 และภาพแรกที่ยังติดตาคนไทย คือ ภาพ“กราบแผ่นดิน”ซึ่ง“ทักษิณ ชินวัตร”ก้มลงกราบพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ ใครที่ไม่รู้นิสัยถาวรของทักษิณก็พากันคิดว่าคนผู้นี้สำนึกผิดแล้ว และก็คงจะกลับตัวกลับใจเพราะมีคดีทุจริตติดตัวอยู่หลายคดี
วันนั้นหลังจากก้มลงหมอบกราบแผ่นดินกลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่สื่อบันทึกไว้แล้ว “ทักษิณ ชินวัตร”ก็ได้เข้ามอบตัวที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามหมายจับในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ร่วมกับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ซึ่งศาลอนุมัติให้ประกันตัวไม่ต้องนอนคุก โดยได้วางหลักทรัพย์ไว้เป็นประกัน 8 ล้านบาท
จากนั้น“ทักษิณ ชินวัตร”ก็เข้ารายงานตัวต่อสำนักงานอัยการสูงสุด เพราะมีคดีทุจริตติดตัวอยู่อีก 2 คดี คือ คดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นใน“บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น” และคดี“ให้นอมินีถือหุ้นชินคอร์ป” ก่อนใช้หลักทรัพย์ 1 ล้านบาทประกันตัว ซึ่งคดีแรกที่เรียกกันว่า“คดีซุกหุ้นเอสซีแอสเสท”โดยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ เป็นผู้ต้องหาด้วยคนหนึ่งนั้น ในชั้นสุดท้ายอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง ส่วนคดี“ให้นอมินีถือหุ้นชินคอร์ป”ศาลฯพิพากษาตัดสินในปี 2563 สั่งจำคุกทักษิณ 5 ปี ไม่รอลงอาญา
อย่างไรก็ดี หลังจากกลับเข้ามาในประเทศไทยได้ 5 เดือน เมื่อ“ทักษิณ ชินวัตร”รู้แกวว่าถึงที่สุดแล้ว“คดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก”ไม่รอดแน่ ก็เลยเผ่นหนีออกจากประเทศไทย โดยทำหนังสือขออนุญาตศาลฎีกาฯด้วยความมดเท็จว่า จะไปชมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ที่ปักกิ่ง ประเทศจีน และปฏิบัติภารกิจต่อที่ญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม-10 สิงหาคม 2551 พอถึงวันที่ 11 สิงหาคมปีเดียวกันนั้น ซึ่งทักษิณจะต้องรายงานตัวต่อศาลฎีกาฯ แต่ทักษิณก็ไม่ยอมไปตามนัด กลับไปปรากฏตัวที่กรุงลอนดอน ในอังกฤษ สรุปก็คือ“หนี”คดีที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาฯ
หนีคราวนี้ยาวถึง 15 ปี 1 เดือน นับตั้งแต่หลอกศาลศาลว่าจะไปดูกีฬาโอลิมปิก เมื่อกลับเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 โดยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว“Gulf stream รุ่น G650-ER”ราคาหลายพันล้านบาท จากประเทศสิงคโปร์มาลงที่สนามบินดอนเมือง ครั้งนี้“ทักษิณ ชินวัตร”ไม่ได้ก้มลงกราบแผ่นดิน แต่เข้าถวายบังคมที่หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 บริเวณด้านหน้าอาคารผู้โดยสาร อากาศยานส่วนบุคคล พร้อมกับการโบกมือทักทายมวลชนคนเสื้อแดง และสนทนากับแกนนำพรรคการเมือง ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคการเมืองอื่นที่มารอต้อนรับ เหมือน“วีรบุรุษนักกีฬา”ที่ได้เหรียญทองโอลิมปิกกลับมา
ออกจากสนามบินก็นั่งรถเป็นขบวน“วี.ไอ.พี”ไปรายงานตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เหมือนหนแรก แต่คราวนี้มีโทษจำคุกติดตัวซึ่งศาลฎีกาฯได้พิพากษาแล้ว 3 คดี รวมโทษทั้งหมด 8 ปี คือ คดีเอ็กซิมแบงก์-โทษจำคุก 3 ปี, คดีหวยบนดิน-โทษจำคุก 2 ปี แต่ 2 คดีนี้มีการนับโทษซ้อนกัน-จาก 5 ปีจึงเหลือ 3 ปี และคดีให้นอมินีถือหุ้นชินคอร์ป-โทษจำคุก 5 ปี
และอย่างที่กล่าวไว้ตอนต้นว่า เรื่องราวของ“ทักษิณ ชินวัตร”นั้นเหมือนดูหนัง ต้องดูยาวๆ เวลานี้ก็ใกล้จะถึงบทอวสานในภาคแรกเรื่อง“นักโทษเทวดา ชั้น 14” เพราะ ป.ป.ช.เดินหน้าเต็มสูบ ซึ่งข้าราชการประจำ ทั้งข้าราชการกรมราชทัณฑ์ และแพทย์-พยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ ที่ทอดตัวรับใช้ทักษิณคงจะต้องติดคุกกันระนาว
เวลานี้ ป.ป.ช.กำลังจี้โรงพยาบาลตำรวจเรื่อง“เวชระเบียนรักษาตัว”ของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร” เพื่อจะได้รู้ว่าทักษิณนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจเท็จจริงประการใด ตั้งแต่วันแรกที่กลับเข้ามาเมืองไทยโดยไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียวจนครบ 180 วันและได้รับการพักโทษ
ขณะที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ซึ่งเคยพบกับอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ระหว่าง“ป่วยวิกฤตปางตาย”ตามที่กรมราชทัณฑ์แถลงข่าวให้สาธารณชนทราบ ก็ได้ให้การกับ ป.ป.ช.ในฐานะพยานไว้หมดแล้ว ว่าทักษิณไม่ได้ป่วยจริง
ปากบอกว่าจะกลับมา“เลี้ยงหลาน” แต่กลายเป็นว่ากลับมาเลี้ยงสุนัขในคอก และชักใยไปหมดทุกเรื่องเพื่ออำนาจและผลประโยชน์แห่งตน ไม่ว่าจะเรื่องการแต่งตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติก็วุ่น เรื่องเกาะกูดก็มีปัญหา ยังมีเรื่องการฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญเพื่อต้องการให้นักการเมืองชั่วได้โกงกินกันอย่างเสรีอีก ที่ยุ่งอีนุงตุงนังพันกันไปหมด
หนังเรื่องนี้ยาว แต่ก็ใกล้อวสานเต็มที จะจบแบบ“พ่อลูกผูกพัน”ไม่มีแผ่นดินอยู่หรือไม่-โปรดติดตาม !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี