เรื่องเกาะกูด ที่จังหวัดตราด นั้น, คนไทยรู้ดีว่าเป็นของคนไทย ไม่ต้องให้“มาดามแพ”นายกรัฐมนตรีไอแพด มาบอก หรือ“สหายใหญ่” อ้วน-ภูมิธรรม เวชยชัย มาบอก ทำนองว่า คนไทยอาจเข้าใจผิดกันไปเอง และจะบานปลายจนเกิดความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาขึ้นมาได้
จริงๆ แล้วคนไทยทุกฝ่ายที่ลุกขึ้นมาคัดค้านในเวลานี้ ไม่มีใครเขาเข้าใจผิด แต่ที่เขากลัวกันนั้น กลัวว่าอดีตนักโทษเด็ดชายทักษิณ ชินวัตร บิดาของ“มาดามแพ”และ“นายใหญ่”ของ“เดอะอ้วน-ภูมิธรรม” จะไปสุมหัวกับ“ฮุน เซน”ผู้ทรงอำนาจและผู้ยิ่งยงแห่งเขมร แล้วฮุบผลประโยชน์พลังงานปิโตรเลียมอันเป็นขุมทรัพย์ใต้ทะเล ที่มีมูลค่ามากกว่า“20 ล้านล้านบาท” แบบ“ไทยครึ่งหนึ่ง-เขมรครึ่งหนึ่ง”มากกว่า โดยมี“กลุ่มบริษัทเชฟรอน”ทุนผูกขาดด้านพลังงงานข้ามชาติ ของสหรัฐอเมริก ยืนอยู่ข้างหลัง
และถึงแม้ว่า“มาดามแพ”จะยืนยันจากการแถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายหลังการประชุมร่วมกับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเกี่ยวกับ“บันทึกข้อตกลงไทย-กัมพูชา” หรือ “MOU 44” โดยมีหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลยืนเอามือกุมเป้าเป็นพระอันดับเสริมบารมีให้แก่“แพทองธาร ชินวัตร” ว่า “ดิฉันเป็นคนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ ประเทศไทยต้องมาก่อน คนไทยต้องมาก่อน รัฐบาลนี้ยืนยันจะรักษาแผ่นดินไทยไว้อย่างเต็มที่ และจะทำให้พี่น้องประชาชนมีความสุขที่สุด นั่นคือสิ่งที่ต้องการ”ก็ตาม ถามว่าจะมีคนเชื่อหรือไม่ เนื่องจากใครก็รู้ว่านายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศนี้คือ“ทักษิณ ชินวัตร”
ส่วน“ภูมิธรรม เวชยชัย” ก็แถเถือกแบบใช้จินตนาการจากการให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนเมื่อนวานนี้ว่า ถ้าหากมีการยกเลิก“MOU 44”ก็เท่ากับ“ไทยไม่รักษาสิทธิในเขตแดน” โดยอ้างว่า MOU 44 เกิดขึ้นจากการประกาศไหล่ทวีปของฝ่ายกัมพูชาในปี 2515 ซึ่งประกาศมาใกล้เขตแดนไทย และในปี 2516 ไทยก็ได้ประกาศเข้าไปใกล้เขตแดนกัมพูชา ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้มีพื้นที่ทับซ้อน
“ภูมิธรรม เวชยชัย”กล่าวว่า “พื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวก็เป็นเรื่องของเอ็มโอยูที่บอกว่า ในโลกทั้งหมดไม่ว่าใครที่มีพื้นที่ทับซ้อนจะต้องเจรจา ดังนั้น ‘MOU 44’ จึงเป็นข้อตกลงที่ให้ไปเจรจากัน ว่าการแบ่งดินแดนในทะเลจะเป็นของใคร หากเข้าใจตรงนี้ก็จะไม่สับสน แล้วมาตั้งคำถามที่เป็นปัญหา ดังนั้นไทยกับกัมพูชาจึงต้องเจรจากัน เพราะหากไทยยกเลิกตรงนี้ก็เท่ากับว่าไทยไม่รักษาสิทธิในเขตแดน”
ใครที่ไม่เข้าใจ หากฟัง“ภูมิธรรม เวชยชัย”ผู้มีใจภักดิ์อดีตนักโทษเด็ดขาดชาย“ทักษิณ ชินวัตร”แบบสุดลิ่มทิ่มประตู ก็อาจจะเข้าใจผิดไปได้ เพราะหัวใจของ“MOU 44” ไม่เกี่ยวกับเรื่องเขตแดน
“MOU 44”ซึ่งมีการลงนามร่วมกันในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ระบุว่า “ทั้งสองประเทศปรารถนาที่จะกระชับความผูกพันแห่งมิตรภาพซึ่งมีมาช้านานระหว่างประเทศทั้งสองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยตระหนักว่า จากผลของการอ้างสิทธิ์ของประเทศทั้งสองในเรื่องอาณาเขตทะเล ไหล่ทวีป และเขตเศรษฐกิจการค้าในอ่าวไทย ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน”
เมื่อเกิดการ“อ้างสิทธิ์ทับซ้อน”ก็ทำให้ประโยชน์สูงสุดของทั้งสองประเทศ คือไทยและกัมพูชา จะไปใช้ทรัพยากรในอาณาเขตทะเล ไหล่ทวีป และเขตเศรษฐกิจการค้าก็ย่อมทำไม่ได้
โดยเฉพาะทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อน ดังนั้น“MOU 44”ฉบับนี้ซึ่งทำกันอย่างรวดเร็วทันใจ เพียงแค่ 3 เดือนกว่าภายหลังจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทยแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2544 เป้าหมายก็เพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์ทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนโดยเร็วเช่นกัน
ข้อตกลงร่วมกันระหว่างไทยกับกัมพูชาใน“MOU 44”ฉบับนี้ เป็นเพียงแค่ข้อตกลงชั่วคราวเพื่อการเจรจาเรื่องการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรปิโตรเลียมที่เป็นขุมทรัพย์ใต้ทะเลเท่านั้น นี้คือการมีอยู่ของเอ็มโออยู่ฉบับนี้ ไม่ใช่อย่างที่นายภูมิธรรม เวชยชัย กล่าวอ้างเสมือนบิดเบือนข้อเท็จจริงว่า “หากไทยยกเลิกตรงนี้ก็เท่ากับว่าไทยไม่รักษาสิทธิในเขตแดน”
ในอีกด้านหนึ่งถ้าพูดกันตามจริง หากมีการยกเลิก“MOU 44”ได้สำเร็จ คนที่จะเสียประโยชน์ก็คือ“กลุ่มเชฟรอน”และผู้ร่วมลงทุน ซึ่งไม่รู้ว่ามี“ทักษิณ ชินวัตร”มีผลประโยชน์ทับซ้อนในฐานะผู้ร่วมลงทุนด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ เพราะว่า พื้นที่“อ้างสิทธิ์ทับซ้อนไทย-กัมพูชา”ประมาณ 26,000 ตารางกิโลเมตร นั้น “กลุ่มเชฟรอน”เป็นบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี 2548 และก็ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลไทยเท่านั้น ส่วนที่ได้สัมปทานจากรัฐบาลกัมพูชาเป็นพื้นที่นอกเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา และต่อมาในปี 2557 “กลุ่มเชฟรอน”ก็ได้จำหน่ายสิทธิที่ได้จากรัฐบาลกัมพูชาแก่“บริษัทคริสเอเนอร์จี”(KrisEnergy) ของสิงคโปร์ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ“เทมาเส็ก”
ได้ยินชื่อ“เทมาเส็ก”แล้วก็ทำให้นึกถึง“ทักษิณ ชินวัตร”ที่เป็นจุดเริ่มต้นอันนำไปสู่การทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในปี 2549 นั่นก็เพราะทักษิณและ“ครอบครัวชินวัตร”ได้ขายหุ้น“บริษัทชินคอร์ป”ทั้งหมดมูลค่า 7.3 หมื่นล้านบาท หรือจำนวนเต็มตัวเลขกลมๆ 76,261.6 ล้านบาทให้แก่“เทมาเส็ก” โดยไม่เสียภาษี และถูกขุดคุ้ยการทุจริตเชิงนโยบายในเวลาต่อมา จนกลายเป็นคดี“ให้นอมินีถือหุ้นชินคอร์ป” ผลสุดท้ายในปี 2563 ทักษิณได้ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา นอกจากนั้นก็ยังถูกยึดทรัพย์จากการขายหุ้นให้แก่“เทมาเส็ก” เป็นเงิน 46,373 ล้านบาท หรือ 4.6 หมื่นล้านบาท
ส่วน“บริษัทคริสเอเนอร์จี”ที่ได้สัมปทานขุดเจาะน้ำมันจากรัฐบาลกัมพูชานั้น เมื่อตามไปดูต่อก็พบว่า ในปี 2560 รัฐบาลกัมพูชาได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัทคริสเอเนอร์จี เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำมันนอกเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา จำนวน 5 แปลงในเขตทะเลนอกชายฝั่งจังหวัดสีหนุวิลล์ ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ฝั่งตะวันตกของกัมพูชา โดยรัฐบาลกัมพูชาถือหุ้น 5 เปอร์เซ็นต์ และตั้งเป้าว่าจะผลิตน้ำมันวันละ 7.5 พันบาร์เรล หรือ 2.7 ล้านบาร์เรลต่อปี
ในปี 2563 รัฐบาลกัมพูชาซึ่งร่วมทุนกับบริษัทคริสเอเนอร์จี ก็เริ่มสามารถผลิตน้ำมันเชิงพาณิชย์ได้ แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้าง เมื่อ“บริษัทคริสเอเนอร์จี”ยื่นขอคุ้มครองล้มละลายต่อศาลในปี 2564 อันเนื่องมาจากหนี้สินของบริษัทพอกพูนเพิ่มขึ้น เพราะโครงการขุดเจาะน้ำมันที่ร่วมทุนกับรัฐบาลกัมพูชาล้มเหลว ผลิตน้ำได้เพียงวันละ 1 พันบาร์เรลเท่านั้น จากเป้าที่วางไว้ 7.5 พันบาร์เรล
หากต่อภาพก็คงจะเห็นโดยไม่ต้องใช้จินตนาการได้ว่า ทำไมวันนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้อุ้งมือของ“ทักษิณ ชินวัตร” จึงร้อนรนเร่งรีบที่จะเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาที่อยู่ภายใต้อิทธพลของ“ฮุน เซน”เพื่อไปสู่เป้าหมาย ในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนแบบ“ไทยครึ่งหนึ่ง-เขมรครึ่งหนึ่ง” โดยมี“กลุ่มเชฟรอน”ยืนอยู่ข้างหลัง
ดังนั้น ถ้ายกเลิก“MOU 44”จึงไม่ใช่เพราะว่าไทยจะเสียดินแดน แต่ที่เป็นปัญหาใหญ่ คือ ไทยจะเสียทรัพยากรปิโตรเลียมอันเป็นขุมทรัพย์ใต้ทะเลที่มีมูลค่ามากกว่า“20 ล้านล้านบาท”มากกว่า ซึ่งทั้ง“ทักษิณ ชินวัตร” และ“ฮุน เซน”จึงต้องเร่งทำ ก่อนที่พลังงาน“สีเขียว”จะมาแทนที่พลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
การที่“ฮุน เซน” รีบบินมาพบ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 หลังจากทักษิณได้รับการพักโทษ ใครก็อาจจะคิดได้ว่า เป็น“EP.2”ของ“MOU 44”ที่ย้อนเวลากลับไปหาอดีต จากที่“สองผู้ทรงอำนาจ”แห่งไทยและเขมรได้กรุยทางเอาไว้แล้วตั้งแต่ปี 2544 !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี