“ถ้ารัฐบาลนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งขึ้นโกง ก็ปฏิวัติเสียดีกว่า เอาคนดีมาจัดการนักการเมืองโกง” วาทกรรมที่คุ้นหูนี้สะท้อนความคิดที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน แต่เมื่อย้อนดูประวัติศาสตร์ การรัฐประหารที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประเทศไทย กลับไม่เคยแก้ปัญหาคอร์รัปชันได้อย่างยั่งยืน ตรงกันข้าม ปัญหากลับทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนให้เห็นว่าการใช้อำนาจเผด็จการเด็ดขาดไม่ใช่คำตอบ แต่กลับเป็นการให้อำนาจประชาชนอย่างแท้จริงผ่านระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็งต่างหาก
ประเทศไทยได้ผ่านการรัฐประหารมาแล้วไม่น้อยกว่า 13 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 2475 แต่ละครั้งมักอ้างเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเหตุผลสำคัญในการยึดอำนาจ แต่การรัฐประหารกลับสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อการทุจริตรูปแบบใหม่ เห็นได้ชัดจากการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีมูลค่ามหาศาลโดยไม่ผ่านการตรวจสอบ หรือการใช้อำนาจพิเศษอนุมัติโครงการขนาดใหญ่ที่เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง
ในช่วงที่ผ่านมา มีการยกตัวอย่างความสำเร็จในการปราบปรามคอร์รัปชันของจีนและเวียดนามที่ใช้มาตรการเด็ดขาด แต่การศึกษาเชิงลึกกลับพบว่า การปราบปรามมักถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามในขณะที่พวกพ้องของผู้นำกลับไม่ถูกตรวจสอบ และยังเป็นการควบคุมผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมืองรวมถึงนักกิจกรรมที่เรียกร้องความโปร่งใส การปราบปรามในลักษณะนี้จึงเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่จะป้องกันการทุจริตในระยะยาว
การศึกษาจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการลดปัญหาคอร์รัปชัน เช่น นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก และสิงคโปร์ ชี้ให้เห็นแนวทางสำคัญดังนี้:
1. การสร้างระบบความโปร่งใสและการตรวจสอบโดยปฏิรูประบบราชการให้มีการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะอย่างเป็นมาตรฐาน ให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณได้ และมีการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงานเพื่อตรวจจับความผิดปกติ
2. การปฏิรูปกฎหมายและการบังคับใช้ทั้งลดทอนกฎหมายที่ล้าหลังและไม่ชัดเจนต้องตีความ และปรับปรุงให้ครอบคลุมการทุจริตรูปแบบใหม่ๆ เช่น การทุจริตในโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน การฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล พร้อมทั้งสร้างระบบคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสที่เข้มแข็ง
3. การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคประชาสังคมมีบทบาทในการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ ตั้งแต่การกำหนดนโยบายไปจนถึงการประเมินผลอย่างเป็นระบบ
4. การปฏิรูปการศึกษา สร้างความเข้าใจต่อธรรมาภิบาลอย่างจับต้องได้ ไม่ใช่เพียงแค่ปลูกฝังค่านิยมความซื่อสัตย์ด้วยการท่องจำ แต่ต้องมีพื้นที่ให้เยาวชนได้ทดลองตัดสินใจในสถานการณ์ต่างๆ และสามารถตั้งคำถามและถกเถียงกันได้อย่างสร้างสรรค์
5. การปฏิรูประบบราชการ มุ่งเน้นการสร้างระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ การปรับปรุงระบบการจ้างงานและผลตอบแทนให้เหมาะสม ควบคู่กับการสร้างระบบความรับผิดชอบที่เข้มงวด
6. การสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรับมือกับการทุจริตข้ามชาติ ทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูล การสืบสวนสอบสวน และการติดตามทรัพย์สินที่ได้มาจากการทุจริต
การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันเป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคม และต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ประสบการณ์จากทั่วโลกชี้ให้เห็นว่า การใช้อำนาจเผด็จการและการลงโทษที่รุนแรงเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน แต่ต้องอาศัยการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง การสร้างระบบธรรมาภิบาล และการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง
การเปลี่ยนแปลงอาจต้องใช้เวลาและความอดทน แต่หากทุกภาคส่วนในสังคมร่วมมือกันอย่างจริงจัง การสร้างสังคมที่โปร่งใสและปลอดคอร์รัปชันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ประเทศไทยมีศักยภาพและทรัพยากรเพียงพอที่จะก้าวไปสู่การเป็นประเทศที่มีธรรมาภิบาลในระดับสากล หากเราเลือกที่จะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องและยั่งยืน
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี