ประมวลความรู้พื้นฐานในวิชาเศรษฐศาสตร์ จักพบว่า 4 เครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยซึ่งประกอบด้วย การบริโภค การใช้จ่ายภาครัฐการส่งออก และการลงทุน อย่าได้สะเออะถามหาการบริโภคของประชาชนในช่วงเวลานี้ แม้รัฐบาลสืบสันดานจะแก้ขวยออกมาตีฆ้องร้องป่าวเอะอะมะเทิ่งว่าเกิดการใช้เม็ดเงินอย่างรวดเร็วและการใช้จ่ายกระจายตัวครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ หลังจากผุดนโยบายแจกเงินคนละ 10,000 บาท เฟสแรก จึงเตรียมศึกษาที่จะแจกเงินเฟส 2 อีก เพื่อต้องการกระตุ้นต่อเนื่องผลักดัน GDP โตได้ 3%
รัฐบาลหลับหูหลับตาตะบี้ตะบันกู้เงินมาแจกเพื่อกระตุ้นการบริโภค แต่กลับลืมพัฒนาดูแลเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวที่สอง นั่นคือ “การใช้จ่ายภาครัฐ” และตัวที่สาม นั่นคือ “การส่งออก” ปล่อยให้เครื่องยนต์ทั้งสองตัวดับอย่างมิดูดำดูดี ทำให้เงินงบประมาณทั้งในปีงบประมาณ 2567 และปี 2568 ซึ่งสมบูรณ์พร้อม 100% กลับไม่ถูกเร่งรัดเบิกจ่ายให้เกิดประสิทธิภาพ, ประสิทธิผลอย่างคุ้มค่า
เมื่อเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2567 และปี 2568 ล่าช้า ทั้งที่เป็นงบลงทุนภาครัฐ เป็นยาหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาพวิกฤตเศรษฐกิจจึงเกิดขึ้น ให้เป็นโอกาสตอกย้ำทศวรรษที่สูญหายตามวาจาหลวงประดิษฐ์วาทกรรม
รัฐบาลที่ผ่านมาเน้นการลงทุนในเรื่องของสาธารณูปโภคขยายปรับเส้นทางการคมนาคมขนส่ง ทำให้เกิดการจ้างงาน รัฐบาลนี้เน้นให้ปลา บังคับยัดเยียดให้ประชาชนเป็นขอทาน ก่อนอาสาเข้ามารับใช้พี่น้องประชาชนไม่ทราบจริงหรือว่ารัฐบาลลุงตู่ /- พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บริหารราชการแผ่นดินโดยไม่ได้เก่งกาจเลอเลิศสมองเฉียบขาดทว่ามีวิสัยทัศน์ที่จักสามารถเริ่มต้น เพื่อให้ทีมที่ปรึกษาต่อยอดพัฒนาไปสู่ความสำเร็จ ทว่าไม่เพียงแต่รัฐบาลนี้ไม่เร่งลงทุน เพราะยักแย่ยักยันที่จะเอาเงินงบประมาณส่วนหนึ่งมาสนองตัณหากับนโยบายแจกเงิน 10,000 บาท ที่อ้างว่ากระตุ้นเศรษฐกิจจนต้องขยายเฟส 2 ต่อไปอีกอย่างต่อเนื่อง
เครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวสุดท้ายคือภาคการส่งออกของไทย ต้องบอกเลยว่ากำลังระส่ำ เพราะกว่า 70% ของผู้ประกอบการไทยกำลังถูก “ดิสรัปต์” จากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจนเกิดภาวะเกินดุลการค้า ยิ่งสหรัฐอเมริกามีการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่ไม่ว่า “รีพับลิกัน หรือ เดโมแครต”จะชนะการเลือกตั้งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแน่นอน จะรุนแรงแค่ไหนเป็นอีกเรื่อง หากเป็น “โดนัลด์ ทรัมป์”แน่นอน “อเมริกัน เฟิร์ส”ที่เน้นเก็บภาษีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าจากจีนซึ่งเดิม 20% เป็น 60% ขณะที่ “แฮร์ริส”เน้นในเรื่องกรอบการค้าที่อาจจะกระทบต่อไทยบ้างเล็กน้อย
เรื่องเหล่านี้รัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์ ท่านรัฐมนตรีพหูสูตอย่าง “พิชัย นริพทะพันธุ์”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เตรียมแผนเตรียมการรับมือนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐยุคใหม่นี้อย่างไร พิมพ์ใส่ไอแพดไว้ให้นางลูกสาวนักโทษเด็ดขาดชายคดีทุจริตคอร์รัปชั่นไว้อ่านตอบคำถามสื่อมวลชนแล้วหรือยัง อย่าเอาเวลาไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่อย่าง เรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่เลย หน้าที่วันนี้คือ จากนี้จะดำเนินการอย่างไรกับมาตรการการค้าของผู้นำสหรัฐคนใหม่
ที่สำคัญกระทรวงพาณิชย์ทราบหรือไม่ว่าบัดนี้จีนสามารถปลูกและเก็บผลผลิตทุเรียนได้ในประเทศที่มียอดผลผลิตสูงกว่า 40,000 ตัน ในมณฑลไหหนาน ซึ่งปริมาณนี้เพียงพอต่อการบริโภคในประเทศ เกือบเท่าปริมาณส่งออกทุเรียนของไทยไปจีนช่วง 3 เดือนแรก (ม.ค.-มี.ค.)ที่มียอดส่งออกอยู่ที่ 39,714.86 ตัน มูลค่า 8,380.03 ล้านบาทในปี 2566 จีนนำเข้าทุเรียนสูงเป็นอันดับหนึ่งของมูลค่าการนำเข้าผลไม้ของจีน โดยมีมูลค่าถึง 6,699 ล้านดอลลาร์
ผลที่ตามมาก็คือราคาทุเรียนต่อหน่วยราว 100 หยวนต่อกิโลกรัม และจะลดลงเรื่อยๆ เหลือ 10 หยวน และ 3 หยวน ในโอกาสต่อไป
สถานการณ์ส่งสินค้าไปจีนก็ย่ำแย่ การค้าสหรัฐก็อับเฉาจะเอามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใดมาฉุดขึ้นจากเหวลึก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี