“โดนัลด์ ทรัมป์”วัย 78 ปี จากพรรครีพับลิกัน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง นับเป็นวาระที่สอง หลังจากพักยกไป 4 ปี เพราะถูก“โจ ไบเดน” วัย 81 ปีจากพรรคเดโมแครตสอยร่วงจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2563
“ทรัมป์”กลับมาผงาดอีกครั้ง จากการเอาชนะ“กมลาแฮร์ริส”ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาและชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย วัย 60 ปีผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯจากพรรคเดโมแครต น่าจะส่งผลให้สถานการณ์ในภูมิภาคต่างๆบนโลกใบนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่มากก็น้อย
แต่ถึงที่สุดก็คงจะไม่เปลี่ยนแบบสวิงสุดขั้วชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะธาตุแท้ของสหรัฐฯนั้นก็ยังคงเป็นสหรัฐฯ ที่คิดว่าตนเองเป็น“เจ้าโลก” และคำนึงแต่เรื่องผลประโยชน์ของตนเป็นหลัก
เบื้องแรกนี้ ต้องจับตา ว่าสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2557และได้ยกระดับจากการประกาศของประธานาธิบดีปูตินเป็น“ปฏิบัติการทางทหารพิเศษ”เมื่อวันที่ 24กุมภาพันธ์ 2565ด้วยเหตุผลว่าเพื่อลบล้างอิทธิพลของ“นาซี”ออกจากยูเครน ทั้งโจมตียูเครนทางอากาศครั้งใหญ่ด้วยขีปนาวุธใส่“เคียฟ”ที่เป็นเมืองหลวงของยูเครนและเมืองอื่นๆ พร้อมกับการโจมตีด้วยกำลังภาคพื้นดิน..นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านมา 2 ปีกว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะยุติหรือเกิดสันติภาพได้อย่างไร
ตลอดระยะเวลาสองปีกว่าของสงคราม“รัสเซีย-ยูเครน” ไม่เพียงแต่นาโต้และชาติพันธมิตรของยูเครนเท่านั้นที่ส่งความช่วยเหลือทั้งทางทหารและทางการเงินให้แก่ยูเครน สหรัฐอเมริกายังถือเป็นตัวหลักที่ทำให้ยูเครนต่อกรกับรัสเซียยืนยาวมาได้จนถึงวันนี้ได้
เฉพาะประเทศที่เป็นรัฐสมาชิกสหภาพยุโรป หรือ “EU” 27 ประเทศที่ต่างก็เดือดร้อนจากสงคราม“รัสเซีย-ยูเครน”และเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจไปตามๆกัน นับตั้งแต่รัสเซียเปิด“ปฏิบัติการทางทหารพิเศษ”เพราะไปร่วมมือกับสหรัฐฯในการคว่ำบาตรรัสเซีย ได้ส่งความช่วยเหลือทั้งความช่วยเหลือทางทหาร,ความช่วยเหลือทางการเงิน และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ให้กับยูเครนไปแล้วไม่น้อยกว่า 9.2หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3.23 ล้านล้านบาท
ขณะที่สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีอันไม่ต่างใช้ยูเครนเป็น“สงครามตัวแทน”ให้สู้รบกับรัสเซีย และคอยถือหางประธานาธิบดี“โวโลดีมีร์เซเลนสกี”แห่งยูเครน วัย 46 ปีที่มีปูมหลังเป็น“ดาราตลก”ในฐานะเบี้ยตัวหนึ่งบนกระดาน ปรากฏว่าได้ทุ่มเงินแบบสู้หมดหน้าตักไปแล้วไม่ต่ำกว่า 7.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.6 ล้านล้านบาท พอๆกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีของประเทศไทย
ส่วนยูเครนโดยผู้นำอดีตดาราตลกนั้นเป็นฝ่ายที่แบมือขอรับความช่วยเหลือจากนาโตและชาติตะวันตกที่มีสหรัฐฯเป็นหัวโจกอย่างเดียว และก็ร้องขอแบบไม่หยุดหย่อนเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ในการทำสงคราม อาทิเช่น รถถัง, เครื่องบินรบตลอดจนระบบป้องกันทางอากาศ และปืนใหญ่พิสัยไกลอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2567 เรื่อยมาจนกระทั่งถึงวันนี้การส่งกำลังบำรุงในรูปแบบการช่วยเหลือให้กับยูเครนด้านต่างๆจากประเทศผู้ถือหางเริ่มน้อยลง ทำให้มีคำถามว่าชาติพันธมิตรจะยังคงสนับสนุนช่วยเหลือยูเครนทำสงครามตัวแทนสู้กับรัสเซียไปได้นานอีกแค่ไหน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาฯที่เป็นหัวโจก เมื่อมีการเปลี่ยนข้างจากพรรคเดโมแครตมาเป็นพรรครีพับลิกัน ยังจะคงเดินหน้าหนุนช่วยแบบเท่าไหร่เท่ากันต่อไปอีกหรือไม่ซึ่งเวลานี้แผนการช่วยเหลือยูเครนของสหรัฐฯที่จะต้องใช้งบประมาณไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 2.15 ล้านล้านบาทยังค้างอยู่ในสภาครองเกรสเพราะมีความเห็นขัดแย้งกันระหว่างพรรคเดโมแครตกับพรรครีพับลิกัน
การเปลี่ยนผู้นำของสหรัฐฯจาก“โจ ไบเดน” มาเป็น “โดนัลด์ทรัมป์” คงต้องดูว่างบประมาณก้อนมโหฬารที่จะต้องนำไปสนับสนุนให้ยูเครนสู้รบกับรัสเซียแบบไม่มีวันที่สงครามจบสิ้นลงวันไหนนั้น ทรัมป์ยังจะเดินหน้าต่อหรือ“ตัดตอน”เพื่อให้สงคราม“รัสเซีย-ยูเครน”ยุติ
สำหรับประเทศไทยเราก็น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างเช่นกันหลังจาก“ทรัมป์”ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทน“โจไบเดน” อย่างน้อยก็น่าจะมีการเปลี่ยนตัวเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทยที่ชื่อ“โรเบิร์ต เอฟ.โกเดค”ซึ่งชอบถือหางกลุ่มการเมืองในซีกที่ต้องการ“ล้มสถาบัน” และทำตัวเป็นหอกข้างแคร่รัฐไทยอยู่ตลอดเวลา
ทั้งนี้ “โรเบิร์ต เอฟ.โกเดค”ได้เปิดทำเนียบเอกอัครราชทูตต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ รวมถึงสื่อมวลชนร่วมงานกิจกรรมติดตามการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนเมื่อวานนี้ และได้แถลงกับสื่อว่า “ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรผมรับรองกับท่านได้ว่า สหรัฐฯ จะยังคงเป็นหุ้นส่วนที่เข้มแข็งของไทยเราจะมีความสัมพันธ์ที่สำคัญแนบแน่น เสมือนผืนผ้าที่ถักทอขึ้นจากสายสัมพันธ์ของเราในด้านการค้าการลงทุน ความมั่นคง การศึกษา และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของเรา”
จะอย่างไรก็ตามอย่างที่กล่าวไว้ ถึงที่สุดแล้วสหรัฐฯก็ยังคงเป็นสหรัฐฯ เชื่ออะไรไม่ได้ทั้งสิ้น ดังวรรคทองของ“จอห์น เอฟ.เคนเนดี”อดีตประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐฯ ที่เคยกล่าวไว้ว่า"อย่าถามว่าประเทศของคุณทำอะไรให้คุณได้บ้าง แต่จงถามว่าคุณทำอะไรให้ประเทศของคุณได้บ้าง"
ในทางกลับกันสำหรับเราคนไทยคงจับความได้ว่า “อย่าถามว่าสหรัฐฯจะทำอะไรให้ไทยได้บ้างแต่จงถามว่าไทยจะทำอะไรให้สหรัฐฯได้บ้าง” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี