การทำบันทึกความเข้าใจร่วมกัน คือการทำข้อตกลงร่วมระหว่าง 2 ฝ่าย (bilateral) หรือมากกว่า 2 ฝ่าย (multilateral) เพื่อการดำเนินกิจกรรมใดๆ ต่อไปให้บรรลุเป้าหมาย แต่ต้องย้ำว่า MOU ไม่มีผลผูกพัน และผูกมัดทางกฎหมาย จึงมีคำถามว่าทำไมต้องทำ MOU ถามต่อไปว่าหากเรื่องที่จะทำ MOU เป็นเรื่องหรือกิจกรรมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยดุษณี ยังจำเป็นต้องทำ MOU หรือไม่
ตอบคำถามแรกว่าทำไมต้องทำ MOU ทำเพราะว่าเพื่อให้สองฝ่าย หรือมากกว่าสองฝ่ายมีความเห็นพ้องต้องกัน และเพื่อทำให้ผู้ร่วมมือสามารถทำตามสิ่งที่คาดหวัง หรือสิ่งที่ตั้งใจจะกระทำให้สำเร็จลุล่วงได้
ถามว่าแล้วเหตุใดรัฐบาลภายใต้การนำของทักษิณ ชินวัตร ในปี 2544 จึงไปทำ MOU 44 กับรัฐบาลฮุนเซน แล้วถามต่อว่าทำ MOU 44 แล้วให้ผลดีหรือผลเสียกับไทย และจะทำให้ไทยต้องเสียดินแดนให้กัมพูชาหรือไม่ เมื่อมาถึงรัฐบาลปัจจุบันที่มีแพทองธาร ชินวัตร ลูกของทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี หากรัฐบาลนี้เห็นว่า MOU 44 เป็นปัญหา เหตุใดจึงไม่ยกเลิก MOU 44 แต่หากมั่นใจว่าไม่มีปัญหา ก็ต้องบอกให้ชัดเจนว่า MOU 44 ให้ผลดีกับประเทศไทยอย่างไร
การที่แพทองธารอ้างว่าเป็นคนไทย ไม่ทำให้ไทยเสียดินแดน เป็นการอ้างที่เป็นความจริงในประเด็นความเป็นคนไทย แต่ทว่าในเรื่องไม่ทำให้ไทยเสียดินแดนเป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอยมาก ปมปัญหาที่ตามมาคือรัฐบาลทักษิณไปตกปากรับคำอะไรไว้กับรัฐบาลกัมพูชาในเรื่องเขตแดนไว้หรือเปล่า จึงต้องทำ MOU 44 ถามต่อไปว่ารัฐบาลทักษิณไปยอมรับเส้นเขตแดนที่รัฐบาลกัมพูชาลากเส้นแล้วกำหนดขึ้นมาเองหรือเปล่า จึงต้องทำ MOU 44 ตามมา
ในอันที่จริงนั้น หากรัฐบาลไทยในยุคทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี มั่นใจว่าดินแดนตรงไหนเป็นของไทยอย่างชัดเจน ก็ไม่จำเป็นต้องทำ MOU 44 กับกัมพูชา อย่าลืมว่า MOU 44 กำหนดว่าเมื่อเจรจาเรื่องน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในพื้นที่อ่าวไทย จะมีคำว่าพื้นที่ทับซ้อน จึงต้องเจรจาเรื่องผลประโยชน์ควบคู่ไปกับเรื่องเขตแดนหรือเส้นอาณาเขต
เคยสงสัยหรือไม่ว่า เหตุใดคนพรรคเพื่อไทยพูดเสมอๆ ว่ามีพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา ทั้งๆ ที่ไม่มีพื้นที่ทับซ้อน เพราะไทยและกัมพูชากำหนดแบ่งพื้นที่กันไปแล้ว แม้จะยังมีปัญหาหลักเขตแดนบางหลักที่ยังหาไม่พบก็ตาม แต่ก็ต้องย้ำว่ามีการแบ่งอาณาเขตทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชาไปแล้ว ส่วนเกาะกูดนั้นก็เป็นของไทยอย่างไม่มีข้อสงสัย เพราะฉะนั้นเมื่อวัดจากรอบเกาะกูดออกไป 12 ไมล์ทะเล ก็จึงเป็นทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล ในทางเดียวกัน กัมพูชาก็วัดจากแผ่นดินของตัวเองออกไป 12 ไมล์ทะเลซึ่งหากใช้วิธีนี้ก็ตัดประเด็นข้ออ้างเรื่องพื้นที่ทับซ้อนไปได้ทันที ซึ่งเรื่องนี้เป็นไปตามหลักกฎหมายทะเลของสหประชาชาติ และไม่มีทางที่กัมพูชาจะมีพื้นที่ทับซ้อนกับไทย ยกเว้นกัมพูชาจงใจลากเส้นผ่านไปบนเกาะกูด และต้องไม่ลืมว่ากัมพูชาไม่ยอมรับกฎหมายทะเลของสหประชาชาติ นี่คือปัญหาที่รัฐบาลไทยต้องระมัดระวังให้มากเพื่อไปทำ MOU 44 กับกัมพูชา
เรื่องสำคัญอีกเรื่องที่ต้องเน้นและย้ำตลอดเวลาคือไทยยึดอาณาเขตตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด เพราะฉะนั้นจึงตัดประเด็น
รุกล้ำเข้าไปในเขตแดนของกัมพูชา เพราะฉะนั้น การอ้างว่าแบ่งปันผลประโยชน์ระหว่างกัน จึงเป็นเรื่องที่ฟังไม่ขึ้น เพราะไม่มีพื้นที่ใดๆ ทับซ้อนกัน การที่กัมพูชาลากเส้นเขตแดนไปบนเกาะกูดจึงเป็นการแสดงเจตนาที่ไม่สุจริต แต่รัฐบาลไทยดันจะยอมรับเรื่องเขตแดนทับซ้อนกันอีก จึงนับว่าสุดแสนพิสดาร แต่หากไทยจะใช้กลอุบายเรื่องเขตแดนเช่นเดียวกับกัมพูชา ปัญหาก็จะบานปลายและอาจกลายเป็นสงครามขึ้นได้
น่าอัศจรรย์ที่รัฐบาลทักษิณ และรัฐบาลแพทองธารยังคงอ้างเรื่องผลประโยชน์ใต้ท้องทะเลไทย แล้วอ้างว่ามีการทับซ้อนของดินแดน แล้วยังอ้างอีกว่าตกลงเรื่องนี้กับกัมพูชาไม่ได้ ก็ต้องถามว่าทำไมต้องทำข้อตกลงกับกัมพูชา ทั้งๆ ที่กัมพูชาไม่ทำตามกฎหมายทะเล และไม่ทำตามกฎหมายระหว่างประเทศ หากรัฐบาลไทยมั่นใจว่าทรัพยากรใต้ท้องทะเลเป็นของไทย ก็ต้องดำเนินการนำทรัพยากรนั้นขึ้นมาใช้ โดยไม่ต้องทำข้อตกลงกับกัมพูชา เพราะมันคือทรัพยากรในดินแดนของไทย และไม่เคยมีรัฐบาลไทยชุดใดรับรองอาณาเขตของกัมพูชา แต่ดูเสมือนว่ารัฐบาลไทยรักไทย (ในอดีต) กับรัฐบาลเพื่อไทย (ป้จจุบัน) ทำราวกับว่าได้รับรองเขตแดนของก้มพูชาไปแล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี