ถึงวันนี้“แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรีมาได้ 83 วันเริ่มนับตั้งแต่วันที่รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม2567 วันเดียวกับที่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตรผู้เป็นบิดา“พ้นโทษ”จากคดีทุจริตโดยไม่เคยติดคุกแม้แต่วันเดียว
วันนี้“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้พ่อกำลังเผชิญกับ“กรรมติดจรวด” เป็นเวรเป็นกรรมที่เกิดจาก“อกุศลกรรม”ที่ได้ทำไว้กรณีเป็น“นักโทษเทวดา ชั้น 14” แม้ว่าในเบื้องต้นดูเหมือนว่ากฎหมายที่เป็นขื่อแปของบ้านเมืองจะเงื้อมมือไปไม่ถึง แต่วันนี้กระบวนการที่เกี่ยวข้องทางกฎหมายกำลังย้อนศร เพราะการกระทำของ“ทักษิณ”เข้าข่าย“ความผิดสำเร็จแล้ว”
เวลา 180 วันในสถานภาพความเป็น“นักโทษเด็ดขาดชาย”จากคดีทุจริตประพฤติมิชอบระหว่างเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีโทษจำคุก 8 ปี และได้รับพระมหากรุณาอภัยลดโทษเหลือ 1ปี ซึ่ง“ทักษิณเข้าไปพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจจนได้รับการพักโทษในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567นั้น ถูกตั้งประเด็นเพื่อเอาผิดทางกฎหมายว่า “ทักษิณ”ป่วยจริงหรือไม่และการพักรักษาตัวที่ห้องพิเศษของโรงพยาบาลตำรวจอย่างต่อเนื่องเป็นการเลือกปฏิบัติของกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจหรือไม่
ในการดำเนินการเพื่อหาข้อเท็จของคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐฯของสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับการ“ป่วยทิพย์”ของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตรอาจจะไม่ส่งผลสะเทือนเท่ากับคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระที่ได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย อันจะมีผลผูกพันสามารถฟ้อง“ทักษิณ”ในคดีอาญาได้
จากคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2567 ได้ตั้งประเด็นชี้ไว้ว่า “ทักษิณ ชินวัตร”ใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลผ่านกระทรวงยุติธรรม, กรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจให้เอื้อประโยชน์แก่ตน โดยระหว่างต้องโทษจำคุกได้พักอาศัยอยู่ห้องพัก ชั้น 14โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อไม่ต้องรับโทษอยู่ในเรือนจำแม้แต่วันเดียว
นายธีรยุทธ สุวรรณเกสร สรุปไว้ในคำร้องนี้ว่า การกระทำดังกล่าวของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เป็นการฝ่าฝืนไม่น้อมรับโทษจำคุกในเรือนจำตามพระบรมราชโองการ ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่บังควรอย่างยิ่ง ทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทและหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ส่งผลให้เกิดการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระเกียรติยศของสถาบันพระมหากษัตริย์ในที่สุด
ข้อกล่าวหาดังกล่าวตามคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกสร หากถึงที่สุดถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าทั้ง“ทักษิณ ชินวัตร”และพรรคเพื่อไทยมีการกระทำตามนี้จริงก็เท่ากับว่ามีเจตนาเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบบพรรคการเมือง ซึ่งเป็นสถาบันทางการเมืองที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมทรามหรืออ่อนแอลง ถือว่าเป็นการกระทำที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด
หากเป็นเช่นนี้ก็เหมือนกับที่พรรคก้าวไกลเคยถูกนายธีรยุทธ สุวรรณเกสร ร้องมาแล้ว และจะเป็นสารตั้งต้นให้นำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทย รวมทั้งการดำเนินคดีอาญากับ“ทักษิณชินวัตร”ตามมาตรา 82 ของประมวลกฎหมายอาญา ที่เข้าข่าย“ความผิดสำเร็จแล้ว” ซึ่งเวลานี้ป.ป.ช.ก็กำลังดำเนินการด้วยเช่นกัน ล่าสุดก็คือการขอ“เวชระเบียน”การพักรักษาตัวของทักษิณจากโรงพยาบาลตำรวจ และถ้าหากโรงพยาบาลตำรวจบิดพลิ้วไม่ยอมส่งเอกสารให้ ป.ป.ช. ก็จะมีความผิดตามไปด้วย
ส่วน“แพททองธาร ชินวัตร”บุตรสาวของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตรผู้สืบสันดานในฐานะที่เป็นทายาทก็มีชะตากรรมที่แขวนไว้บนเส้นด้ายไม่ต่างจากบิดา เกี่ยวกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่าจะ“อยู่หรือไป”หรือ“ไปเร็วไปช้า” เวลานี้ก็เริ่มเดินสายเวิลด์ทัวร์เหมือน“เศรษฐา ทวีสิน”
ตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรีมาได้ 83 วัน, “มาดามแพ”เดินสายเวิลด์ทัวร์มาแล้ว 3 ประเทศ ประเทศแรกคือการเดินทางไปร่วมประชุมระดับผู้นำกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue: ACD) ครั้งที่ 3ระหว่างวันที่ 2 - 4 ตุลาคม 2567 ณ กรุงโดฮารัฐกาตาร์ ซึ่งประเดิมเริ่มแรกก็ได้ฉายา“นายกฯไอแพด”ทันที ด้วยเหตุที่เธอท่องโพยจากการก้มหน้าก้มตาอ่านไอแพดอย่างเดียว จนกลายเป็น“มาดามโพยทองธาร”ไปโดยอัตโนมัติอีกฉายาหนึ่ง
ครั้งที่สองไปประเทศลาวในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 44 ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ระหว่างวันที่ 8-11 ตุลาคม 2567 คราวนี้ก็ยังใช้ไอแพดท่องโพยเหมือนเดิม แต่น้อยกว่าที่รัฐกาตาร์เพราะคงเกรงว่าจะถูกจับผิดซ้ำสอง
ปรากฏว่าก็ยังมีเรื่องให้จับผิดจนได้ เพราะวิสัยทัศน์ที่เธอกล่าวต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนนั้น ลอกการบ้านของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชามาทั้งดุ้น ทั้งที่ตัวเธอเองและพรรคเพื่อไทยด้อยค่ามาตลอด ว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์“8 ปีไม่มีอะไร”
ล่าสุดไปจีนเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำโขง (GMS Summit)ครั้งที่ 8 และการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ครั้งที่10 ระหว่างวันที่ 6-7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ณ นครคุนหมิง มณฑลยูนนานสาธารณรัฐประชาชนจีน คราวนี้ก็ไป“ขายขี้เท่อ”อีก โดยได้กล่าวยกย่อง“4 ยอดสิ่งประดิษฐ์”ของจีน (FourGreat Inventions) ได้แก่ เข็มทิศ ดินปืน กระดาษ และการพิมพ์
เรียกว่าย้อนเวลากลับไปหาอดีต จากศตวรรษที่ 21 ในวันนี้ย้อนกลับไปศตวรรษที่ 12 เมื่อครั้งอดีต มิหนำซ้ำยังลอกข้อมูลเหมือนลอกข้อสอบจาก“วิกิพีเดีย”อีกต่าหาก เพราะในวิกิพีเดียรายงานไว้ว่า จากหลักฐานที่บันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ชาวจีนรู้จักใช้เข็มทิศหน้าปัดกลมเพื่อเดินเรือเมื่อศตวรรษที่ 12 ก่อนชาวอิตาเลียนที่รู้จักใช้เข็มทิศในศตวรรษที่ 14
จบจากจีน, ทริปเวิลด์ทัวร์ของ“มาดามแพ”ครั้งต่อไปคือประชุม APEC ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู โดยในวันที่ 10 พฤศจิกายนสุดสัปดาห์นี้จะบินโฉบออกนอกเส้นทางไปนครลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกาเพื่อพบปะกับเอกอัครราชทูตและคนไทยในลอสแอนเจลิส จากนั้นในวันที่ 13 พฤศจิกายนถึงจะบินไปกรุงลิมา ซึ่งถ้าหากหอบสามีหอบลูกไปด้วยคงได้วิ่งเล่นกันอย่างเพลิดเพลินที่นครลอสแอนเจลิส
ส่วนงานในหน้าที่นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทยนั้น ปล่อยให้“ทักษิณ ชินวัตร”ผู้เป็นบิดาทำแทน ซึ่งระหว่างวันที่ 13-14 พฤศจิกายนนี้ “ทักษิณ”มีคิวจะลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานีเพื่อช่วยลูกพรรคเพื่อไทยหาเสียง คือ นายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี
สองพ่อลูกคู่นี้ถึงไม่ใช่แฟนแต่ก็ทำแทนกันได้-ในฐานะผู้ครอบครองกับผู้ถูกครอบครอง !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี