พวกเล็งผลเลิศและเล็งการณ์ดีพากันคาดหมายว่า หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายและกลับคืนสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งที่สองแล้ว สงครามทั้งหลายในโลกจะยุติและกลับคืนสู่สันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองเหมือนดังเดิม
นี่เป็นความเพ้อฝันที่เล็งการณ์ดีโดยไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และโดยไม่เข้าใจสหรัฐและผู้นำของสหรัฐเลยแม้แต่น้อย
ที่ว่าไม่เข้าใจสหรัฐก็เพราะว่า เรื่องราวทั้งหลายในโลกนี้ สหรัฐเขาเป็นชาติใหญ่และเป็นมหาอำนาจ เป็นผู้นำของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศพวกฝรั่งทั้งหลายมาเป็นเวลาช้านาน จนกระทั่งเป็นมหาอำนาจและครองอำนาจในโลกมาเป็นเวลาช้านาน เขาจึงมียุทธศาสตร์ชาติที่แน่วแน่ คือความเป็นผู้นำและเป็นมหาอำนาจของโลกที่จะต้องไม่มีคู่แข่งขันโดยเด็ดขาด
ดังนั้นเพื่อดำรงยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าวไว้ เขาจึงตั้งฐานทัพไว้ในประเทศต่างๆ หลายสิบประเทศ เป็นจำนวนถึง 800 ฐานทัพ ได้สร้างกองเรือที่ยิ่งใหญ่ถึง 10 กองเพื่อควบคุมน่านน้ำมหาสมุทรและผลประโยชน์ทางทะเลของโลก ได้สร้างพันธมิตรขึ้นในทุกภูมิภาคที่สามารถกำกับควบคุมและกำหนดการทั้งหลายได้ต่อเนื่องมาเป็นเวลาร่วมร้อยปีแล้ว
การดำเนินยุทธศาสตร์ดังกล่าวทำให้สหรัฐต้องแบกภาระรายจ่ายมหาศาล จึงเป็นหนี้ต่างประเทศมากที่สุดของโลก จนกระทั่งไม่สามารถแบกหนี้ได้อีกต่อไปแต่ด้วยพลังอำนาจในระบบการเงินของโลก จึงยังสามารถควบคุมโลกได้อย่างเหนียวแน่น
แม้กระนั้น ความชะงักงันในการพัฒนาประเทศ และความเสื่อมโทรมทางสังคมจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนาน และทำให้สหรัฐกลายเป็นประเทศที่ไม่มีการพัฒนาต่อเนื่องมาหลายสิบปี มีปัญหาสังคมภายในประเทศมากที่สุดของโลก
เพราะความดิ้นรนที่จะแสวงหาผลประโยชน์จากทุกประเทศทั่วโลกมาบำรุงเลี้ยงยุทธศาสตร์นี้สหรัฐจึงถูกกล่าวหาว่าเอาเปรียบและข่มเหงประชาชาติต่างๆ และประเทศเหล่านั้นก็ได้รวมตัวกันเพื่อความอยู่รอดของตนเอง จนกระทั่งได้จัดตั้งเป็นขั้วอำนาจใหม่ของโลกขึ้น คือขั้วองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ ที่มีองค์กรทางเศรษฐกิจที่สำคัญคือ BRICS เป็นกลไกหลักในการต่อสู้กับกลไกเศรษฐกิจของขั้วอำนาจเก่า โดยเฉพาะกลุ่มองค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ได้เสริมสร้างแสนยานุภาพทางทหารอย่างต่อเนื่องยาวนาน เพื่อรับมือกับแสนยานุภาพทางทหารของสหรัฐและพันธมิตร
โดยสี่ประเทศ คือ รัสเซีย จีน อิหร่าน และเกาหลีเหนือเป็นแกนหลัก ดังนั้น จึงถูกรัฐบาลสหรัฐในสมัยทรัมป์ 1 ประณามว่าเป็น 4 อักษะปีศาจที่จะต้องถูกทำลายล้างให้หมดไปจากโลก
นี่คือยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่สำคัญที่เป็นผลประโยชน์แห่งชาติที่ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปได้ ดังนั้นการกลับคืนสู่ทำเนียบขาวครั้งนี้ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์นี้
ในสมัยรัฐบาลทรัมป์ 1 ได้กำหนดกลยุทธ์ในการทำลายกลุ่ม 4 อักษะปิศาจ ที่จะต้องทำลายล้างประเทศจีนก่อน เพราะเป็นขุมกำลังใหญ่ทั้งทางเศรษฐกิจและทางการทหาร จากนั้นจึงกำจัดรัสเซีย ส่วนอิหร่านและเกาหลีเหนือก็จะสลายตัวไปในที่สุด
ในการดำเนินกลยุทธ์นี้จึงเปิดยุทธการสำคัญต่อประเทศจีนเป็นครั้งแรก โดยประกาศยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก เพื่อปิดล้อมต่อต้านและทำสงครามกับจีน และได้เปิดฉากทำสงครามรูปแบบอื่นกับจีนอย่างเข้มข้น
เหตุการณ์โควิด-19 ก็เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศจีน โดยในช่วงแรกกล่าวหาว่าเป็นไวรัสหวู่ฮั่น ซึ่งสร้างภาพลักษณ์ยิ่งกว่าปิศาจร้ายจากนรกโลกันตร์แต่เรื่องนี้ก็ทำให้จีนไหวตัวว่าสงครามระหว่างจีน-สหรัฐ ในรูปแบบใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว และประกาศให้ทั่วประเทศพร้อมเข้าสู่สงคราม
หลังจากนั้นการทำสงครามทางการค้า สงครามจิตวิทยา และอื่นๆ ก็ตามมาเป็นพรวน ซึ่งขณะนั้นจีนยังไม่มีความพร้อมทางแสนยานุภาพและการรับมือกับรูปแบบอื่น หากปะทะซึ่งหน้าทันทีก็จะเป็นฝ่ายถูกกระทำ
ทว่าประเทศจีนนั้นก็เป็นประเทศที่ช่ำชองเรื่องยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และกลยุทธ์มาตั้งแต่โบราณ ดังนั้นจึงต้องซื้อเวลาเพื่อสั่งสมความพร้อมให้รวดเร็วที่สุด ซึ่งจีนต้องการเวลาอย่างน้อยสองปี
ดังนั้นเพื่อป้องกันตัวไม่ให้เป็นฝ่ายถูกทำลายล้างอย่างอำมหิต จึงเกิดปฏิบัติการทางทหารพิเศษขึ้นที่ยูเครน โดยไม่มีใครคาดฝัน เพราะก่อนหน้านั้นแม้มีสงครามน้ำลายระหว่างกัน แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีการเปิดศึกสงครามกัน เป็นเหตุให้รัสเซียถูกคว่ำบาตรครั้งใหญ่ที่สุดและรุนแรงที่สุด ตลอดจนมีการระดมประเทศนาโตกว่า27 ประเทศ ทุ่มเข้าช่วยยูเครนรบกับรัสเซีย สองปีเศษผ่านไปประเทศในยุโรปก็อ่อนเปลี้ยลง และเกิดปัญหาภายในอย่างรุนแรงก็ไม่สามารถเอาชนะรัสเซียได้
สถานการณ์สงครามยูเครนนั้นจึงแยกไม่ออกจากกลยุทธ์บางชนิดที่จีนเคยใช้มาตั้งแต่ยุคเลียดก๊ก นั่นคือ ยุทธวิธีตีเมืองเว่ย ช่วยเมืองเจ้า เพราะเหตุนี้เมื่อสหรัฐและกลุ่มประเทศนาโตไปติดหล่มในสงครามยูเครน สถานการณ์ความตึงเครียดในแปซิฟิกและการต่อต้านจีนจึงลดแรงกดดันลง
ในขณะที่จีนก็ได้ใช้เวลาที่ผ่านสร้างสมความพร้อมเต็มรูปแบบ ทั้งด้านแสนยานุภาพ ด้านเศรษฐกิจและสงครามรูปแบบอื่นๆ
ดังนั้นเมื่อทรัมป์คืนทำเนียบขาวครั้งที่สอง ยุทธศาสตร์ชาติก็คงเป็นเช่นเดิม และยุทธวิธีตีจีนก่อนเพื่อทำลายกลุ่มอักษะปีศาจก็ยังคงเดินหน้าเหมือนเดิม เป็นแต่รูปแบบจะเน้นหนักไปในรูปแบบของสงครามชนิดใหม่ๆ ที่ยังไม่ใช้กำลังทหารออกหน้า
ดังนั้นการต่อสู้กันระหว่างสองขั้วอำนาจจึงไม่เปลี่ยนแปลง จะแตกต่างกันบ้างก็รูปแบบที่ใช้สงครามแบบอื่นออกหน้า แต่ถึงที่สุดแล้วถ้าหากความขัดแย้งไม่สามารถแก้ไขได้ การใช้แสนยานุภาพก็มีความจำเป็น
ประเทศไทยของเราก็ไม่รอดไปจากสายตาของสหรัฐ ดังนั้นทันทีที่ชนะเลือกตั้ง ประธานาธิบดีทรัมป์จึงชื่นชมนายกรัฐมนตรีอุ๊งอิ๊งค์ว่าน่ารัก โดยที่ไม่รู้จักประเทศไทย เพราะเรียกชื่อประเทศไทยว่าเป็นประเทศชัย ซึ่งแสดงว่าทีมงานเตรียมการในเรื่องนี้ขาดความรอบคอบ
การทักทายดังกล่าวอย่าถือว่าเป็นเรื่องดี แต่นี่คือสัญญาณร้ายที่เงื้อมมือของทรัมป์จะขย้ำเข้ามาในภูมิภาคนี้ นั่นเพราะไทยเป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศอาเซียนตอนบน และเป็นศูนย์กลางของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ที่กำลังเผชิญหน้ากับยุทธศาสตร์เส้นทางสายไหมของขั้วอำนาจใหม่
ปัญหาทางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี กลยุทธ์ทั้งหลายในการทำให้ประเทศอยู่รอดปลอดภัยจึงไม่ใช่ของเด็กเล่น ที่จะเอาการเล็งการณ์ดีมาปลอบใจหลอกลวงตัวเองไปวันๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี