๕.พาเพื่อนขึ้นดอยขุนตาน หวังไปถึงเป็นคนแรกแล้ว : เกิดอะไรขึ้น ? เป็นเรื่องที่ยังจดจำได้ดี............ครั้งหนึ่ง ที่พวกเรา ชาวชมรมปาฐกถาและโต้วาที สจม. และเพื่อนวิศวะ อักษรฯ ตามไปด้วยไปเยี่ยมบ้าน อาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมชที่ดอยขุนตาน ยอ ๓ ในปี ๒๕๑๒ แต่เป็นตอนขาขึ้น
เมื่อขบวนรถไฟจากหัวลำโพง มาจอดที่สถานีขุนตานพวกเราต่างรีบขนข้าวของลง เพื่อเตรียมตัวขึ้นไป “บ้านอาจารย์คึกฤทธิ์ ดอยขุนตาล”แต่ละคน ต่างขนของส่วนตัวด้วยเป้ของตน ของหนักๆ ของบางคน และสัมภาระของกินของใช้ที่จำเป็น จ้าง “ชาวบ้านหามขึ้นไป” จุดเด่น คือ “อาจารย์คึกฤทธิ์” ที่ต้องนั่งแคร่ ที่ใช้คนหาม ๔ คนค่าจ้างคนละ ๘๐ บาท (สมัยปี ๒๕๑๒)
@ ส่วนผม เดินนำหน้า โดยมีเพื่อนรัก “ดร.สุวัฒน์” เดินตาม ด้วยความเชื่อใจ ผมมั่นใจพอควร เพราะ “มาเที่ยวขุนตานหลายครั้ง” ผมเดินแกมวิ่ง หวังไปถึง “เป้าหมายก่อนคนอื่น”ใช้เวลาประมาณ ครึ่งชั่วโมง ยังไม่ถึง ชักไม่แน่ใจว่า “คงมีอะไรผิดพลาด” ผิดพลาดจริงๆ แต่ต้องเดินต่อไป อีก ๒ ชั่วโมง ปรากฏว่า “หลงทางแล้ว”
@ ตอนนี้ ต้องหาทางกลับไปเจอชาวบ้าน แนะให้ไปลงอีกทางหนึ่ง เพราะจะใกล้กว่าแล้ว เราก็ลงมาถึงสถานีรถไฟ “ทาชมภู” เป็นอีกสถานีหนึ่งที่ห่างจาก สถานีขุนตาล ไปอีกสถานีหนึ่ง ไกลพอควร (เกือบ 9 กม.)โชคดี มีรถไปขากลับ จากเชียงใหม่ ไป ลำปางเราจึงกลับมาลงที่ สถานีขุนตานแล้ว จ้าง “ชาวบ้าน” นำทางเราไปถึง“บ้านอาจารย์คึกฤทธิ์” ประมาณ หนึ่งทุ่ม
ทุกคน ต่าง “โล่งใจ” หลังจาก เช็คดูว่า “ไม่มีชัยวัฒน์ และ สุวัฒน์” และ ได้ข้อสรุปว่า “หลงแล้ว” ทุกคน เป็นห่วง โดยเฉพาะ “อาจารย์คึกฤทธิ์” ได้สั่งให้ “ผู้นำชาวบ้านตามหา”
ผมขอโทษ อาจารย์และทุกคน ตัวเอง เสียใจ ที่ทำให้ “ทุกคน” เป็นห่วงขอโทษครับ ......เป็นความรู้สึกผิด และหลังจากนั้น ก็ไม่เคยทำผิดเช่นนี้ อีกเลย (อาเมน)
๖.สามน้องพี่ชาวอินทาเนียจุฬาฯ ระบายอารมณ์ตะโกนเสียงดังและฟังเสียงสะท้อนของตนที่หน้าผาหนึ่ง ของดอยขุนตาน ในราวปี ๒๕๑๗ หลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เราทั้ง ๓ ซึ่งมีความรักสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษในครั้งนั้น เดินทางไปพักผ่อนที่ ดอยขุนตาน
พี่ฉายศิลปะ เชี่ยวชาญพิพัฒน์ (วศ.จุฬาฯ ๒๕๐๙)
ชัยวัฒน์ สุรวิชัย (วศ.จุฬาฯ ๒๕๑๐)
ธีรยุทธ บุญมี (วศ.จุฬาฯ ๒๕๑๒)
@ เมื่อขึ้นมาถึง หน้าผาแห่งหนึ่ง เราหยุดเพื่อที่จะแข่งกัน ตะโกน เพื่อให้เสียงก้อง สะท้อนกลับมา ใครตะโกนดังกว่าใคร! คงต้องให้๒ คนตัดสินเพราะผมไม่ได้สนใจ เพราะ “ใจสงบ” ไม่ต้องระบาย
Delay Effect เป็น Effect เสียงสะท้อนหรือเสียง Echo ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เราจะได้ยินเสียง Delay เหล่านี้ได้ ตามพื้นที่ขนาดใหญ่ต่างๆ อย่างเช่น Stadium หน้าผา หรือห้องขนาดใหญ่ ที่เป็นเสียงสะท้อนกลับไปกลับมา
๗.เบื้องหลัง “พี่ไขแสง สุกใส” สามารถ ท่องบทกลอนได้หลากหลาย แม้แต่สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตงในช่วงโอกาสพิเศษ ของผม ที่ได้อยู่ใกล้ชิด สองต่อสอง กับ “พี่ไขแสง” คือ “การถูกมอบหมาย จากพรรคฯ” ให้ไปดูแล “พี่ไขแสง” ที่ป่วยหนัก ต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลของจีนที่ “คุนหมิง” และ “เซี่ยงไฮ้” ในช่วงเข้าป่าที่ ๒๕๒๐
มีหลายเรื่องที่ได้รับรู้ จากคำบอกเล่าจากปาก“พี่ไขแสง” “สหายสุข” เป็นคนที่มีอุดมคติมีหลักการในการทำงาน และช่วยดูแล “พสท.” พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยได้ดีไม่เคย(ไม่ยอม) รับเงินจากพี่ เพราะมีหลักการพึ่งตนเองพี่ไขแสง ยอมรับว่า “ตัวเองมีข้ออ่อน และข้อจำกัดหลายเรื่อง”
@ กลับเข้ามาสู่ “หัวข้อ” ที่ตั้งไว้“พี่เป็นคน มีความรู้ไม่มาก ไม่ได้เรียนสูง” แต่พยายามพัฒนาตนเอง ทุกเช้า พี่ไขแสง ที่เป็นคนตื่นเช้าจะมานั่ง เขียน “บทกลอน กวี” ที่นิยมพูดกัน ในบรรดาผู้นำฯเป็นการเขียน ซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นประจำจากนั้น ก็จะใช้มาพูด ในคำปราศรัยประจำ จนจำขึ้นใจฉะนั้น พี่ไขแสง จะจำ “บทกลอน กวี” ได้มาก รวมทั้ง “สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตง ด้วย”
๘.พี่คำสิงห์ “ลาวคำหอม” เป็น “ผู้มีทุกข์หนัก และหลายชั้นฯ” เป็นเจ้าของคำพูด “ขอบคุณ สหายสุข ที่นำลูกท้อมาให้หลายลูก” แต่เห็น “ลูกท้อ” แล้ว มันท้อแท้ใจนัก
ในช่วงหลัง ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ พี่คำสิงห์ อยู่ในเมือง ไม่ได้แล้วเพราะ “ถูกฝ่ายอำนาจรัฐ” คุกคาม เช่นเดียวกับ “ผู้นำอื่นๆ” (ดอกลูกแรก) จึงหลบภัย เข้าป่า และได้มาอยู่ร่วมกันที่ “สำนักแนวร่วม A30 “พี่คำสิงห์ ถูกสายการเมืองฝ่ายซ้ายว่า “เป็น ซีไอเอ” (เป็นดอกลูก ๒) และในช่วงที่พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย จะมีการคัดเลือกประธานพรรคคนใหม่เพราะ อาจารย์ พันเอกสมคิด ศรีสังคม ซึ่งเป็นประธานพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทยไม่ได้เข้ามา
ดังนั้น จึงมี ๓ คน ที่เป็นผู้ใหญ่ และเป็น Cadidate กัน
มีพี่ไขแสง สุกใส อาจารย์บุญเย็น วอทอง และพี่คำสิงห์ ศรีนอก พี่คำสิงห์ ถูกข้อหาแบบไม่เป็นทางการ แต่ถูกพูดเป็นการเฉพาะกิจ ในข้อหาเป็นซีไอเอ ทำให้พี่คำสิงห์ มีความรู้สึกว่า “ไม่ได้รับความเป็นธรรม” และมี “ผู้นำรุ่นน้องๆ” บางคน ที่เชียร์พี่ไขแสง ไปให้ข้อมูลในเชิงลบ ต่อ พี่คำสิงห์ (ซึ่งทางพรรคฯ บางคน มาถามความเห็นผมผมบอกว่า “ผมไม่ทราบข้อเท็จจริง” แต่ในสภาพนี้ ไม่ควรมีเรื่องเช่นนี้ เพราะ “ทุกคน มาร่วมกันต่อสู้ฯ)ผม เห็นใจ “พี่คำสิงห์” และพี่คำสิงห์ ก็มักคุยกับผมวันหนึ่ง ผมตามสหายพี่เลี้ยงฯ และพวกเราขึ้นภูและได้ไปเก็บ “ลูกท้อ” ลูกโตและสดสวยผมจึงเอามา ฝาก พี่คำสิงห์ พี่คำสิงห์ขอบคุณ และพูด “ประโยคข้างต้น”
พี่คำสิงห์ จึงมีความชื่นชมผมมากเป็นพิเศษ ตอนออกจากป่า กลับเข้าไปต่อสู้ในเมืองและผม มีโอกาสเข้าพรรคพลังธรรมพี่คำสิงห์พูดกับผมว่า “ชัยวัฒน์ เป็นพลังธรรมที่ดี ด้วยมีธรรมในใจ และเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี