ปัญหาเกาะกูดนั้น ฝ่ายรัฐบาลและนักการเมืองของพรรคเพื่อไทยพูดเหมือน “ไปไหนมาสามวาสองศอก” ถามเรื่องหนึ่งตอบอีกเรื่องหนึ่ง..และพยายามจะยืน“กระต่ายขาเดียว” ว่าเกาะกูดเป็นของไทย ไม่ได้เสียให้กัมพูชา
คิดอีกทีก็เหมือนกับพวกนักการเมืองพรรคเพื่อไทยตั้งแต่หัวยันหาง..ต้องการจะพูดกรอกหูทำสงครามโฆษณาชวนเชื่อ..เพื่อให้ประชาชนคนไทยที่ไม่ได้ติดตามข่าวสาร..หลงเชื่อคล้อยตามว่า..ฝ่ายที่มีความเห็นต่างจากรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย เป็นพวกขวางโลก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย..ทั้งที่รัฐบาลย้ำอยู่ตลอดเวลาว่า..เกาะกูดเป็นของไทย และ“MOU 44”เป็นเพียงแค่เครื่องมือสำหรับใช้เป็นกรอบในการเจรจาเพื่อหาข้อยุติในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนระหว่าง“ไทย-กัมพูชา” เท่านั้น
ขณะที่คนสำคัญซึ่งเป็นผู้ทำให้“MOU 44”ฉบับนี้เกิดขึ้นมาได้ คืออดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อไม่กี่วันก่อนว่า “บางคนไม่ทราบว่า MOU 44 คืออะไร..แต่ขอตีไว้ก่อน” พร้อมกันนี้ทักษิณก็ยังชี้แจงแบบตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จว่า..“MOU 44 เป็นเพียงบันทึกข้อตกลง..ที่จะคุยกันในเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายไม่ตกลงกัน..ว่าจะปรับตัวเข้าหากันได้อย่างไร เป็นแนวที่จะคุยกัน..เพราะฉะ นั้นไม่ต้องตกใจ ไม่มีอะไรเลย”
ส่วนประเด็นที่ประชาชนคนไทยไม่ไว้เนื้อเชื่อใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง“ทักษิณ ชินวัตร”กับ“ฮุน เซน”ที่มีความสนิทชิดเชื้อกันนั้น..อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “ตอนที่ผมเป็นนายกฯ สมัยที่มีปัญหาเรื่องการบุกเผาสถานทูตไทยประจำกัมพูชา ตอนนั้นเป็นเพื่อนสนิทกันเลย แต่ถือว่าผลประโยชน์ประเทศมาก่อน โดยมีการคุยกันว่า ถ้าเอาไม่อยู่จะส่งเครื่องบินไปรับ ผมก็ส่งไปรับ ไม่เห็นมีอะไรเลย ผลประโยชน์ประเทศมาก่อน ความเป็นเพื่อนก็คือเพื่อน แต่ผลประโยชน์ของประเทศคือคนละเรื่องกัน”
แกนนำคนสำคัญของรัฐบาลและของพรรคเพื่อไทยอีกคนหนึ่ง คือ“ภูมิธรรม เวชยชัย”ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนเมื่อวานนี้ที่ทำเนียบรัฐบาลแบบมีอารมณ์เหวี่ยง..โดยเปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่ที่เกาะกูด จังหวัดตราดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน เพื่อตรวจเยี่ยมกำลังพลของกองทัพเรือ และพูดคุยสอบถามเรื่องราวต่างๆ จากหน่วยงานและข้าราชการที่อยู่ในพื้นที่ที่ดูแลทางทะเลและทางบก.. ซึ่งสบายใจได้ว่า มีความ“แข็งแรง-เข้มแข็ง” และทุกฝ่ายยืนยันว่า จะปกป้องดินแดนเกาะกูด..โดยไม่ยอมให้เสียผืนแผ่นดินแม้แต่ตารางนิ้วเดียว
ผู้สื่อข่าวถามว่า“เรื่องนี้จะจบอย่างไร เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับนักท่องเที่ยว เพราะอีกฝ่ายยังออกมากระทุ้งในเรื่องนี้อยู่”..ซึ่งคำถามนี้ทำให้เข้าทาง“สหายใหญ่-ภูมิธรรม เวชยชัย”ที่มักจะย้ำแต่เรื่องเกาะกูดเป็นของไทยอยู่ตลอดเวลาว่า..“ฝ่ายที่ออกมากระทุ้งก็กระทุ้งไป เพราะเขายังไม่เข้าใจสิ่งที่เป็นจริง..เราพยายามที่จะชี้แจง..ซึ่งประเด็นนี้ยังไม่มีปัญหาอะไรเลย เพียงแต่เราจำเป็นต้องมีคณะกรรมการตามกรอบที่กำหนด”
ว่าแล้ว“ภูมิธรรม เวชยชัย”ก็ใช้วรรคทองที่เป็นคาถาประจำตัวปรามฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลว่า..“อย่าใช้จินตนาการมาพูดจนกลายเป็นปัญหาไป..มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และไม่เป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นที่ต่างประเทศมีต่อเรา”
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เป็นประเด็นข้อถกเถียงกันในเวลานี้ คือ ผลประโยชน์เฉพาะหน้าเรื่อง“ปิโตรเลียม”ที่เป็นขุมทรัพย์ใต้ทะเล..ซึ่งประเทศไทยจะต้องสูญเสียให้แก่เขมรแบบ“50/50”ดังที่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เคยพูดเปิดทางเอาไว้..ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเกาะกูดที่จะเสียให้แก่กัมพูชา
ทั้งนี้ เกี่ยวกับข้อถกเถียงดังกล่าว..อดีต สว.คำนูณ สิทธิสมาน ในฐานะผู้รู้ที่จับประเด็นนี้มาโดยตลอด..ได้โพสต์ข้อคิดเห็นลงในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนเมื่อวานนี้ว่า ถ้าหากไม่มีการยกเลิก“MOU 44”และใช้เป็นกรอบในการพิจารณาข้อตกลง..จะทำให้ประเทศไทย“ได้สอง-เสียสาม”
ได้ที่หนึ่ง..ที่อดีต สว.คำนูณ สิทธิสมาน มองนั้น คือ “ได้ผลประโยชน์จากส่วนแบ่งปิโตรเลียม”..และได้ที่สอง คือ “ได้ความสบายใจเต็มร้อย
สำหรับที่จะต้อง“เสียสาม”ให้แก่กัมพูชาในความเห็นของอดีต สว.คำนูณ สิทธิสมาน นั้น..ประการแรก-เสียผลประโยชน์จากส่วนแบ่งปิโตรเลียม, ประการที่สอง-เสียเขตแดนทางทะเลทันที และประการที่สาม-(อาจ)เสียเขตแดนทางทะเลในอนาคต
ประเด็นที่ไทยจะเสียในประการที่สามดังกล่าว, อดีต สว.คำนูณ สิทธิสมาน ให้รายละเอียดว่า “MOU 2544 เป็นกรอบสำหรับตกลงแบ่งทรัพยากรปิโตรเลียมในเขตใต้พื้นทะเลไหล่ทวีปที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันเท่านั้น..แต่ในความเป็นจริงในอ่าวไทยยังมีทรัพยากรอื่นๆ อีกมากในน้ำทะเล อาทิ ปลา สัตว์น้ำต่างๆ..รวมทั้งสิทธิในการเดินเรือ การที่พื้นที่ใต้เส้นละติจูด 11 องศาเหนือ 16,000 ตารางกิโลเมตรยังไม่ได้แบ่งเขตแดนทางทะเลกันชัดเจน..อาจก่อให้เกิดปัญหาหรือข้อพิพาทในอนาคตได้”
แต่บรรทัดนี้ผมพูดเอง ถ้าหากมีการประกาศยกเลิก“MOU 44”ฉบับนี้ ประเทศไทยก็จะไม่เสียอะไรเลย เกาะกูดก็ยังเป็นของเรา, พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนของไทยและกัมพูชาก็ยังคงเป็นพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน ไม่มีใครเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ และสำคัญที่สุดทรัพยากรปิโตรเลียมก็ยังคงอยู่ตามเดิม ไม่ได้เน่าเสียอะไร..รวมทั้งข้อพิพาทเกี่ยวกับการแบ่งเขตแดนทางทะเลในอนาคตก็จะยังไม่เกิดขึ้น..เพราะทุกอย่างหยุดอยู่กับที่หมด
สำคัญเหนืออื่นใด..ฝ่ายที่จะเสียประโยชน์เฉพาะหน้าอันใกล้นี้..ก็คือ คนไทยกับคนเขมรที่หวังจะร่ำรวยมหาศาลจาก“ปิโตรเลียม”ที่มีมูลค่ามากว่า“20 ล้านล้านบาท”นั่นเอง-ไม่ใช่ใครที่ไหน
และนอกจากเรื่องเกาะกูดที่เป็นประเด็นร้อนแล้ว..ในที่สุดคณะกรรมการสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติที่มี“นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์” อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน ก็มีมติจากการประชุมเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนวานนี้แบบ“หมูไม่กลัวน้ำร้อน”..โดยไม่สนใจเสียงคัดค้านจากทุกฝ่าย..เลือก“Mr.White lies-กิตติรัตน์ ณ ระนอง”วัย 66 ปี ที่มีสายโยงใยกับพรรคเพื่อไทย และเคยเป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ตามที่พรรคเพื่อไทยโดยกระทรวงการคลังเสนอ
ประเด็นนี้หลายฝ่ายที่คัดค้านเห็นว่า..กรณีของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง จะเป็นระเบิดเวลาทำลายล้างรัฐบาล“มาดามแพ”อีกลูกหนึ่ง..เช่นเดียวกันกับปัญหาเกาะกูด ที่รัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยเป็นคนตั้งไว้เอง
กล่าวกันอย่างถึงที่สุด ก็คือ ปัญหาทุกปัญหาที่เป็นระเบิดเวลาในการทำลายล้างรัฐบาลนั้น..ล้วนมีชนวนเหตุมาจาก“ทักษิณ ชินวัตร”ทั้งสิ้น !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี