ปรากฏการณ์แห่แหนต้อนรับอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ของมวลชนคนเสื้อแดง..จากการเหยียบจังหวัดอุดรธานี ซึ่งเปรียบกันว่าเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดงในภาคอีสาน เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนเมื่อวานนี้..ทำให้ไม่แปลกใจว่า ทำไมลุถึงศตวรรษที่ 21 ในปัจจุบันนี้แล้ว และเป็นยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีพัฒนาล้ำหน้าสุดขีด..จึงมีคนไทยจำนวนไม่น้อย ทั้งในเมืองและในชนบท..ยังถูก“แก๊งสิบแปดมงกุฎ”ต้มตุ๋นกันได้โดยง่าย เช่นที่เป็นคดีความกันอยู่ในเวลานี้
ตัวแทนมวลชนคนเสื้อแดงภาคอีสาน 20 จังหวัด รวมทั้งจากจังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่..ไปรอต้อนรับอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร วัย 75 ปี ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาสั่งจำคุกจากคดีทุจริตประพฤติมิชอบขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย ที่สนามบินจังหวัดอุดรธานีกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งตั้งแต่เช้า ก่อนที่จะทักษิณจะมาถึงในช่วงบ่าย
เป็นการไปต้อนรับด้วยความรู้สึกเสมือนว่า“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นวีรบุษ“กู้ชาติกู้แผ่นดิน”..และได้สร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติบ้านเมือง ทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีกันโดยถ้วนทั่ว ในสมัยที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล ระหว่างปี 2544-2549 และการกลับมาของทักษิณครั้งนี้..คือการกลับมาช่วยประเทศไทยของ“คนดีที่ต้องจากไป”เพราะถูกยึดอำนาจ
“ทักษิณ ชินวัตร”นั้น เพิ่งจะพ้นโทษจากคดีโกงบ้านกินเมือง 3 คดี..จากการทุจริตประพฤติมิชอบระหว่างเป็นนายกรัฐมนตรี..ซึ่งมีโทษจำคุกรวม 8 ปี..จากคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง..และเมื่อยอมกลับเข้ามารับโทษทัณฑ์..หลังจากหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศนานกว่า 15 ปี..ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี
ทว่า“ทักษิณ ชินวัตร”เมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากการยื่นทูลเกล้าฯถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษโดยกราบบังคมทูลว่า “..ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา ขณะนี้อายุมาก มีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยต้องเข้ารักษาพยาบาลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ..”..แต่ก็ปรากฏว่าทักษิณไม่เคยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเลยแม้แต่น้อย
ดังที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ..ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันจะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..ได้ระบุไว้ในคำร้องว่า..“(ทักษิณ)ไม่น้อมรับโทษจำคุกในเรือนจำตามพระบรมราชโองการ”
“ทักษิณ ชินวัตร”ไม่น้อมรับโทษจำคุก..ก็เพราะ หลังจากได้รับพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษจากโทษจำคุก 8 ปี เหลือ 1 ปี..ทักษิณยังใช้ข้ออ้างการ“ป่วยทิพย์”นอนพักรักษาตัวในห้อง วีไอพี.บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ตั้งแต่กลางดึกของคืนวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เรื่อยมา..โดยไม่ยอมเข้าไปติดคุกในเรือนจำแม้แต่วันเดียว..จนกระทั่งได้รับการพักโทษ และพ้นโทษเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567
และจากกรณี“ป่วยทิพย์”ของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร..นอกจากคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ที่ได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญได้นัดพิจารณาว่าจะรับคำร้องหรือไม่รับคำร้องของนายธีรยุทธในวันที่ 22 พฤจิกายนนี้..ในอีกทางหนึ่ง ป.ป.ช.ก็กำลังดำเนินการ..จากที่มีผู้ร้องให้เอาผิดในทางคดีอาญา ร่วมกับข้าราชการ คือข้าราชการกรมราชทัณฑ์ และแพทย์-พยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ ที่เกี่ยวข้องในการเอื้อประโยชน์ให้ทักษิณไม่ต้องเข้าไปติดคุกในเรือนจำ
ทั้งนี้ ล่าสุดจากการเปิดเผยของนายพิชิต ไชยมงคล แกนนำ คปท.ที่ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายนเมื่อวานนี้..ในฐานะที่ คปท.เป็นผู้ยื่นร้องกรณี“ป่วยทิพย์”ของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ต่อ ป.ป.ช. โดยระบุว่า “วันนี้มาติดตามความคืบหน้ากับท่านผู้ช่วยเลขาฯ ป.ป.ช. นายจักรกฤช ตันเลิศ ผลการประชุมร่วมสรุปได้ว่า คณะชุดสืบสวนข้อเท็จจริงตามร้อง ได้สรุปสำนวนเรียบร้อยแล้ว ภายในเดือนพฤศจิกายน 2567 จะนำเสนอให้ อนุกรรมการที่มี นายเอกวิทย์ วัชชวัลคุ กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธานอนุกรรมการ ซึ่งจะใช้เวลาภายใน 3 เดือน (กุมภา 68) จึงจะมีมติว่าจะชี้มูล หรือ ไม่ชี้มูล”
ส่วนเรื่อง“เวชระเบียน”เกี่ยวกับการพักรักษาตัวของ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่โรงพยาบาลตำรวจไม่ยอมให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช. หลังจากที่ ป.ป.ช.ได้มีหนังสือขอไปอย่างเป็นทางการตามกระบวนการสอบสวนของ ป.ป.ช.ถึง 3 ครั้งนั้น, นายพิชิต ไชยมงคล ซึ่งเป็นหัวแรงสำคัญที่นำ คปท.ต่อสู้เพื่อพิทักษ์ความถูกต้องชอบธรรมของกระบวนการยุติธรรม..ตั้งแต่เห็นความไม่ชอบมาพากลจากการ“ป่วยทิพย์”ของทักษิณในช่วงแรกที่เข้าไปอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ..เขียนไว้ในเฟซบุ๊กว่า “เรื่องเวชระเบียน ร.พ.ตำรวจ ที่ไม่ให้ความร่วมมือกับ ป.ป.ช. ตอนนี้อยู่ในระหว่างให้ กรรมการ ป.ป.ช.สรุปว่า..จะไปแจ้งความเอาผิดหรือไม่”
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือภาพเปรียบเทียบของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ระหว่างความเป็น“วีรบุรุษ”และความ“เป็นคนดี”ในสำนึกของมวลชนคนเสื้อแดง..กับข้อเท็จจริงในเชิงประจักษ์ทั้งในอดีตและปัจจุบันของทักษิณที่คนทั่วไปรับรู้และมองเห็น
การเหยียบเมืองหลวงในภาคอีสานของคนเสื้อแดงของ“ทักษิณ ชินวัตร” ที่จังหวัดอุดรธานีในครั้งนี้ ซึ่งมีนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย ร่วมคณะไปด้วย..เพื่อช่วยหาเสียงให้แก่นายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ของพรรคเพื่อไทย ระหว่างวันที่ 13-14 พฤศจิกายน..ก็คือการกลับมาอีกครั้งหนึ่งของ“ทักษิณ ชินวัตร” เพื่อฟื้นฟูและกอบกู้ฐานคะแนนเสียงของพรรคเพื่อไทย
จากที่ได้เสียมวลชนไปไม่น้อยจากการชุมนุมประท้วงของมวลชนคนเสื้อแดงในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..ด้วยคำพูดปลุกระดมข้ามประเทศของ“ทักษิณ ชินวัตร”ในเดือนมีนาคม 2552 ..ที่ว่า"ถ้าเมื่อไหร่ เสียงปืนแตก ทหารยิงประชาชน ผมจะเข้าไปนำพี่น้องเดินเข้ากรุงเทพฯทันที" และหลังจากนั้นอีกหนึ่งปีก็เกิดเหตุการณ์“เผาบ้านเผาเมือง”กลางเมืองหลวงกรุงเทพมหานคร และบางจังหวัดในภาคอีสาน เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2553..
สุดท้าย สำหรับคำพูดของ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่บอกว่า“ผมจะนำพี่น้องเดินเข้ากรุงเทพฯทันที”..ก็ดูเหมือนว่าจะคล้ายกับ“สัจจะในหมู่โจร”..เพราะไม่เคยมีใครเห็นทักษิณโผล่หัวออกมานำมวลชนคนเสื้อแดงอย่างที่ได้ประกาศไว้แต่อย่างใด !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี