ได้เห็นคำร้องของทนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ที่ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 (ทักษิณ ชินวัตร) มีพฤติกรรมฝักใฝ่ คบหาร่วมคิดกับสมเด็จฯฮุนเซน ซึ่งเป็นผู้นำทางการเมืองประเทศกัมพูชา ซึ่งมีระบบการปกครองที่ฝ่ายการเมืองมีอำนาจเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ และ ผู้ถูกร้องที่ 1 มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำและเป็นผู้สั่งการ ผู้ถูกร้องที่ 2 (พรรคเพื่อไทย) เป็นเครื่องมือควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินสั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์กับสมเด็จฯฮุนเซนให้ประเทศกัมพูชา ละเมิดอธิปไตยทางทะเลของไทยโดยให้มีการเจรจาพื้นที่ที่ฝ่ายกัมพูชา อ้างว่าเป็นเขตพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (MOU2544) เพื่อแบ่งผลประโยชน์ก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรใต้ทะเลในเขตอธิปไตยทางทะเลของไทยให้แก่ประเทศกัมพูชา..
ประกอบกับเฟซบุ๊ก Darin Karn โพสต์ข้อความสั้น ว่า “ทัพเรือภาคที่ 1 ส่งเรือหลวงเทพาและเรือตรวจการณ์ 3 ลำ..ดูแลน่านน้ำตะวันออก ด้านจันทบุรีและตราด...เพื่อเฝ้าดูแลอธิปไตยของชาติทางทะเล...อย่างสุดกำลัง....!!!” เลยนำเรื่องที่เขียนไว้ตั้งแต่ต้นปี แต่ยังไม่ได้ลงตีพิมพ์ในแนวหน้าเนื่องจากมีประเด็นอื่นแทรกขึ้นมา วันนี้นำมาเคาะสนิมให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ดังต่อไปนี้
เรื่องปักปันเขตแดนประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่เงียบหายไปนานกลับมาเป็นประเด็นที่กล่าวขานกันใหม่ เมื่อสองสหายอดีตนายกรัฐมนตรีไทยกับอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผู้คิดว่าตัวเองใหญ่คับฟ้า มาพบกันที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567
แน่นอน เมื่อสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุนเซนอดีตเขมรแดงแปรพักตร์ ผู้ผลักดันตัวเองขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชายาวนานเกือบสี่ทศวรรษ เป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดในกัมพูชา แทบเรียกได้ว่า ใต้ฟ้ากัมพูชาอยู่ใต้อำนาจบารมีของฮุนเซน ที่เขาต้องการสิ่งใดต้องได้สมความปรารถนา
เมื่อฮุนเซน ซึ่งเป็นประธานองคมนตรีกัมพูชาและมีลูกชายนายฮุน มาเนต เป็นนายกรัฐมนตรี มาเยี่ยมไข้นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษความผิดคอร์รัปชั่น และได้รับการพักโทษอาศัยอยู่ในบ้านจันทร์ส่องหล้า จึงกระตุ้นให้สังคมไทยฉุกคิดขึ้นมาว่า สองอดีตผู้นำอำนาจนิยมอาจสมคบกัน แบ่งปันผลประโยชน์จากพลังงานในทะเลอ่าวไทย ซึ่งทำให้ประเทศไทยอาจเสียเกาะกูดของไทยให้กัมพูชาหรือไม่
และไม่นานหลังจากสองผู้นำอำนาจนิยมพบกัน นายทักษิณส่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊งค์ลูกสาวคนโปรด ที่ได้รับการสถาปนาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (และเป็นนายกฯปัจจุบัน) พรรคแกนรัฐบาลผสมไปกัมพูชาเพื่อพบปะเจรจากับฮุน มาเนต ลูกชาย ฮุนเซน ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทำให้หลายฝ่ายเกิดสงสัยว่า ไปตกลงเรื่องผลประโยชน์ร่วมกันในทะเลอ่าวไทยหรือไม่
นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้เคยลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงของไทยให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร เพียงฝ่ายเดียวออกมาปฏิเสธว่าอุ๊งอิ๊งค์และคณะไม่ได้เจรจาเรื่องผลประโยชน์ของชาติแต่ประการใด ก็ไม่มีใครเชื่อ เนื่องจากคนไทยยังคลางแคลงใจในข้อตกลงทำความเข้าใจร่วมกัน หรือ MOU 2544 ที่รัฐบาลไทยรักไทย นำโดยทักษิณ ชินวัตร ลงนามไว้กับรัฐบาลกัมพูชา ที่กัมพูชาอ้างว่า “เกาะกูดของไทย” อยู่ในพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทยกัมพูชา
เกาะกูดที่เมื่อปี 2528 ผู้เขียนเคยไปทำข่าวมนุษย์เรือเวียดนาม ที่กัปตันแกล้งทำให้เครื่องยนต์เรือเสียหายแล้วเดินลุยน้ำขึ้นชายฝั่ง ผู้เขียน กับ ประสิทธิ์ แสงรุ่งเรือง ช่างภาพทีวี ไปถึงที่มนุษย์เรือเวียดนามกำลังลุยน้ำขึ้นฝั่งตอนรุ่งสาง และประมาณแปดโมงเช้าเจ้าหน้าที่ยูเอ็นเอชซีอาร์ (UNHCR) กับทหารเรือไปถึงที่นั่น เจ้าหน้าที่ยูเอ็นเอชซีอาร์ห้ามไม่ให้เราถ่ายวีดีโอ หรือสัมภาษณ์มนุษย์เรือเวียดนาม ส่วนทหารเรือแนะนำให้พวกเราไปพบเจ้าหน้าที่ที่อำเภอคลองใหญ่ เจ้าหน้าที่ขอม้วนวีดีโอที่เราถ่ายทำแล้วแต่บังเอิญเราส่งเทปม้วนนั้นไปกับเรือประมงล่วงหน้า เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์พักพิงชั่วคราวก็ไม่ว่าอะไรบอกให้พวกเรากลับได้ แสดงว่าทหารเรือและเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์พักพิงชั่วคราวสั่งให้พวกเราทำนั้นโน่นนี้ เพราะเจ้าหน้าที่ยูเอ็นเอชซีอาร์อยู่ในพื้นที่ด้วย นอกจากนั้น ทหารเรือบอกเราว่า พื้นที่ตรงนี้เป็นของไทย ยูเอ็นเอชซีอาร์ทำอะไร ทหารเรือไทยต้องรับรู้ด้วย
เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ผู้เขียนรับรู้ ตั้งแต่ปี 2528 ว่า “เกาะกูด” เป็นของไทย ที่ราชนาวีไทยไม่ยอมให้ใครรุกล้ำ คอลัมน์ทวนกระแสข่าว จึงไม่กังวลเหมือนคนส่วนใหญ่ที่คิดว่า เพื่อนบ้านจะแย่งดินแดนบางส่วนของประเทศไทยไปโดยเฉพาะเกาะกูด ซึ่งกัมพูชาอ้างว่า เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ทับซ้อน 26,000 ตารางกิโลเมตร ในอ่าวไทย ที่ว่ากันว่า
มีก๊าซธรรมชาติอยู่ในปริมาณ 11 ล้านล้านคิวบิกฟุตมูลค่าราว 3.5 ล้านล้านบาท น้ำมันอีก 500 ล้านบาร์เรล มูลค่า 1.5 ล้านล้านบาท รวมมูลค่า5 ล้านล้านบาท นับว่า มูลค่ามหาศาล
เหตุผลอีกประการ ที่คอลัมน์ทวนกระแสข่าว ไม่กังวลเหมือนคนทั่วไป เพราะเชื่อว่าทักษิณ ในปี 2567 ต่างกับทักษิณ หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ในทศวรรษ 2544 ยุคนั้นทักษิณ มี สส.ล้นหลามในสภาและมีอิทธิพลบารมีเหนือวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งเกือบทั้งหมด ในยุครุ่งเรืองทักษิณสามารถแก้สัญญาสัมปทานดาวเทียวให้เป็นภาษีสรรพสามิตได้ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่าเจ็ดหมื่นล้านบาท ทักษิณสามารถสั่งให้วันที่31 ธันวาคมเป็นวันทำการเพื่อให้เมียทำสัญญาซื้อที่ดินโดยเสียภาษีน้อยกว่าอีกสามวันต่อมาและยังมีเรื่องอีกมากมายที่ทักษิณเคยทำได้ โดยใช้อำนาจเผด็จการสภาคอร์รัปชั่นทางนโยบาย
แต่ทักษิณวันนี้มีฐานะเป็นนักโทษคดีทุจริตคอร์รัปชั่นที่ได้รับการพักโทษ ซึ่งต้องปฏิบัติตามระเบียบกรมราชทัณฑ์ 1 2 3 4 5 ถึงแม้ว่า กรมราชทัณฑ์ปฏิบัติต่อเขา
ไม่เข้มงวด เท่าที่ควรทำก็ตาม ที่สำคัญพรรคเพื่อไทย ที่ว่ากันว่าทักษิณสั่งให้หันซ้ายหันขวาได้ไม่ได้มีเสียงข้างมากในสภา เหมือนพรรคไทยรักไทย ปี 2544-2548 วันนี้พรรคเพื่อไทยเป็นเพียงแกนนำรัฐบาลผสม ที่แต่ละพรรคร่วมรัฐบาลมีพื้นฐานการเมืองไม่ธรรมดา ที่ทำให้พรรคเพื่อไทย ทำอะไรตามอำเภอใจเหมือนคราวทักษิณยิ่งใหญ่ไม่ได้ และที่สำคัญ “ดีล” ที่ทำกันลับๆ ก่อนทักษิณกลับบ้าน อาจรัดคอไว้ไม่ให้ทักษิณทำอะไรได้ตามอำเภอใจ
ทักษิณอาจทำให้สังคมไทยหงุดหงิดไม่พอใจที่เขาไม่ต้องติดคุก แม้แต่วันเดียว แต่สิ่งหนึ่งที่สังคมไทยต้องไม่ลืมว่า หน่วยงานราชการตลอดถึงหน่วยงานอิสระของไทย ยังต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญทุกประการเช่นอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเขตแดน หรือแบ่งปันผลประโยชน์ตลอดถึงการทำข้อตกลงกับต่างประเทศต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาที่สำคัญกองทัพ ยังมีบทบาทสำคัญในกิจการชายแดน ในกรณีเขตแดนนั้น มีกรรมการร่วมชายแดน (Joint Border Committees=JBC) ซึ่งผู้แทนจากทั้งสองประเทศ เป็นกรรมการศึกษา เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว JBC ต้องนำเสนอรัฐบาลรับรองก่อนส่งให้รัฐสภาพิจารณา เรื่องเขตแดน เรื่องผลประโยชน์ร่วมกับ
ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นลูกผู้ยิ่งใหญ่ ลูกนายพลหรือ แม้แต่ลูกโจรจะตกลงกันตามอำเภอใจไม่ได้
แต่หากเกิดบาปเหมาะเคราะห์ร้ายลูกโจรตกลงกันได้ เรื่องแบ่งปันผลประโยชน์บนพื้นชายแดน แล้วรัฐสภาและกองทัพเห็นด้วยกับการตกลงของลูกโจรก็ถือว่า เป็นกรรมของประเทศไทย แต่คอลัมน์นี้ฟันธงว่า เรื่องทำนองนั้นไม่วันเกิดขึ้นได้ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่
หากพูดถึงเรื่องชายแดน เรื่องเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ ประเทศไทยผู้เขียนมั่นใจว่าได้สัมผัสมามากกว่าคนทั่วไปหลายสิบล้านคน และในห้วงเวลาที่ผู้เขียนทำข่าวโจรจีนมลายา ข่าวพูโล ข่าวเขมรสามฝ่ายข่าวเขมรแดง ข่าวขุนส่า ข่าวกลุ่มชาติพันธุ์ในพม่า ตลอดถึงข่าวชาวม้งในประเทศลาว ในยุคนั้นประมาณปี 2523 ถึง 2531 ชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน อยู่ภายใต้กฎอัยการศึก คือ ในรัศมี 5 กิโลเมตรจากเส้นเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน ทหารควบคุมอย่างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปในรัศมี 5 กิโลเมตร จากเส้นแดนได้ นักข่าวที่ไปพบกองกำลังติดอาวุธในป่าเขา ใกล้ชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ต้องแอบเล็ดลอดเข้าไป เลยไม่รู้จริงๆ ว่าเส้นเขตแดน หรือหลักเขตอยู่ตรงไหนในป่า เรารู้แต่เพียงว่า ธงชาติไทย ทหารพราน ตชด.ตั้งฐานอยู่ตรงไหนเขตแดนไทยอยู่ตรงนั้น
จึงสรุปได้ว่า หน่วยความมั่นคงของประเทศไทยรักษาดินแดนไว้ให้ลูกหลานอย่างแข็งขัน จึงมีความเชื่อว่าตลอดเวลา 50 ปีที่ผ่านมา และอีกหลายปีต่อไปไม่มีใครรุกด้าวแดนไทยได้
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี