การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC) ครั้งที่ 31 ณ กรุงลิมา ประเทศเปรู ระหว่างวันที่ 15-16 พฤศจิกายน ภายใต้หัวข้อหลักที่มุ่งเน้นการเชื่อมโยง“ด้านการค้า การลงทุน การเติบโตที่ยั่งยืน ยืดหยุ่น และครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม” แบบไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
“มาดามแพ-แพทองธาร ชินวัตร”กลับมาถึงไทยในวันที่ 18 พฤศจิกายนวันนี้ หลังจากเดินสายเวิลด์ทัวร์ยกคณะเหมาเช่าเครื่องบินของกองทัพอากาศไปเข้าร่วมประชุมครั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน โดยแวะนครลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นจุดหมายแรก ก่อนจะบินไปกรุงลิมาในวันที่ 13 พฤศจิกายน
สรุปรวมแล้วค่าใช้จ่ายในการเดินทางของ“มาดามแพ”และคณะรวมทั้งหมด 8 วัน ตั้งแต่คืนวันที่ 10-18 พฤศจิกายน แบบกินหรูอยู่สบายนอนโรงแรม 5 ดาวตามวิถีการดำเนินชีวิตแบบ“ลูกคุณหนูพ่อแม่ร่ำรวย”ในครั้งนี้ แต่บิดาแกล้งยากจนนั่งสายการบินราคาประหยัดไปหาเสียง ประมาณการว่าเงินหลวงของแผ่นดินถูกถลุงไปไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
ในขณะที่“มาดามแพ”และรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยป่าวประกาศอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ว่าเศรษฐกิจอยู่ในภาวะวิกฤต แต่ก็ปรากฏว่าเข้าปีที่ 2 ของการเป็นรัฐบาล และเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี 2 คน จากนายเศรษฐา ทวีสิน มาเป็น“มาดามแพ” จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นว่ามีเม็ดเงินจากไหนไหลเข้ามาในประเทศ นอกจากน้ำลายที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ
ที่เห็นกันอยู่ตำตา ก็มีแต่ก็ควักเงินหลวงของแผ่นดิน“ลด-แลก-แจก-แถม”ตามนโยบายประชานิยมภายใต้ระบบ“ทักษิโณมิกส์” หรือ “ประชานิยมแบบทักษิณ”ที่เคยทำมาตั้งแต่ครั้งรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ระหว่างปี 2544-2549
มิหนำซ้ำแม้เงินงบประมาณจะไม่มี ก็ยังอำพรางเงินกู้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของแผ่นดินในปี 2567 และปี 2568 มาแจกตามโครงการ“ดิจิทัล 1 หมื่นบาท” ซึ่งล้างผลาญไปแล้ว 1.4 แสนล้านบาท ในการแจกเงินสด 1 หมื่นบาทในเฟสแรก ให้แก่คนไทยกลุ่มเปราะบางจำนวน 14.5 ล้านคน เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยประโคมข่าวว่าจะเป็น“พายุหมุนทางเศรษฐกิจ” แต่เอาเข้าจริง“เสียงผายลม”ก็ยังไม่มีใครได้ยิน
และในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมี“มาดามแพ”เป็นประธานการประชุม จะมีการพิจารณาเรื่องการแจกเงิน“ดิจิทัล 1 หมื่นบาท”เฟส 2 ด้วย โดยจะแจกให้แก่ผู้สูงวัยเป็นเงินสดรายละ 1 หมื่นบาท และเป็นเงินสดก้อนเดียวเหมือนกับที่แจกกลุ่มเปราะบางเฟสแรกมาแล้ว
ส่วนผู้สูงวัยก็อาจจะเริ่มตั้งแต่ผู้มีอายุ 50 ปีหรือ 60 ปีขึ้นไป โดยจะไม่ซ้ำซ้อนกับกลุ่มเปราะบางเฟสแรก ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าคณะกรรมการที่มี“มาดามแพ”นั่งหัวโต๊ะจะเคาะออกมาแบบไหน
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เงิน“ก้อนโต”ที่รัฐบาลเตรียมไว้แล้ว 1.8 แสนล้านบาท ก็จะต้องแจก เพราะอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นผู้ตั้งฉายาให้กับตนเองว่า“เสือกทุกเรื่อง” ได้ไปประกาศไว้ที่จังหวัดอุดรธานีตอนไปเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้แก่นายศราวุธ เพชรพนมพร ผู้สมัคร นายก อบจ.อุดรธานี ของพรรคเพื่อไทย
และถึงแม้ว่า“ทักษิณ ชินวัตร”จะปฏิเสธว่าไม่ไม่ครอบงำรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย แต่ทันทีที่“ทักษิณ”ประกาศบนเวทีปราศรัยที่จังหวัดอุดรธานีในวันที่ 13 พฤศจิกายน ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นในวันที่ 14 พฤศจิกายน นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหมือนกับเป็นการขานรับ ว่าจะนำเรื่องนี้เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจในวันที่ 19 พฤศจิกายน
สำหรับ“มาดามแพ”ในฐานะนายกรัฐมนตรี“หุ่นเชิด”ที่ไม่ต้องทำอะไร เนื่องจากมีคนคอยคิดและทำแทนให้หมดทุกอย่าง เพียงแค่แต่ละวันแต่งตัวเฉิดโฉม แต่คนไทยจำนวนไม่น้อยดูไม่ไฉไล เพราะแต่ละชุดที่เธอสวมใส่ตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรีมาครบ 3 เดือนโดยไม่ซ้ำชุดแม้แต่วันเดียวนั้น ไม่ลงตัว ประเภท“แพงแต่ไร้รสนิยม” ได้แถลงผลสำเร็จข้ามประเทศหลังเสร็จสิ้นการประชุมก่อนจะเดินทางกลับมาถึงประเทศไทย ตามเวลาท้องถิ่นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนว่า ได้มีการ“ขับเคลื่อนการลงทุน-ผลักดันให้เกิดการค้าเสรี (FTA)” ขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังได้ส่งเสริมในเรื่องนวัตกรรม ดิจิทัล และการเติบโตที่ยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดนี้ตรงกับนโยบายที่รัฐบาลไทยกำลังผลักดัน
“มาดามแพ”กล่าวในรายละเอียดว่า “ได้คุยกับผู้นำแต่ละเขตเศรษฐกิจและนักธุรกิจในด้านต่างๆ อาทิ พลังงาน, รถยนต์ไฟฟ้า และ AI ซึ่งหลายบริษัทสอบถามว่าไทยกำลังอยู่ในจุดไหน จึงตอบไปว่า ตอนนี้ไทยกำลังรับเรื่องการลงทุนเพื่อสร้างเม็ดเงินใหม่ๆ เข้ามาในประเทศ โดยเน้นไปที่เทคโนโลยี AI, Semiconductor และ Data center และมีโอกาสได้พูดคุยกับนักธุรกิจ 3 บริษัท ประกอบด้วย TikTok, Microsoft และ Google จึงเสมือนเป็นการต่อยอดให้มาลงทุนเพิ่มเติมกับประเทศไทย รวมถึงประกาศว่าพร้อมจะสนับสนุนในเรื่องใดบ้าง”
การแถลงอย่างเป็นเรื่องเป็นราวของ“มาดามแพ” ที่พูดได้อย่างไม่ติดขัดโดยไม่ต้องใช้ไอแพด ก็เห็นจะเป็นการเล่าประสบการณ์การเข้าร่วมประชุมเอเปกในครั้งนี้..ซึ่งคล้ายกับ“เด็กน้อยได้ของเล่นชิ้นใหม่”ว่า..“ถือเป็นการมาเอเปกครั้งที่ 2 ครั้งแรกเดินทางมากับคุณพ่อ ในฐานะผู้ติดตามของนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2004 (ปี พ.ศ. 2547) และปีนี้ 2024 ครบ 20 ปีพอดี ครั้งนี้กลับมาในฐานะผู้นำ ตื่นเต้นและแตกต่างจากตอนมากับคุณพ่อ.. เนื่องจากต้องเข้าใจรายละเอียดการประชุมและหัวข้อการประชุม ต้องพูดคุยให้ครบทุกประเด็นที่เป็นประโยชน์กับไทย เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เจอกับผู้นำมากมายขนาดนี้”
หลังแถลงข่าวก่อนบินกลับเมืองไทย..ก็เป็นไปตามนั้นไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจ, “มาดามแพ”ในฐานะ“ซอฟต์พาวเวอร์ตัวแม่” แต่ใช้ของต่างประเทศแบรนด์หรูราคาแพงประดับกาย..ได้พาคณะชมและช้อปสินค้าเกษตรและสินค้าพื้นเมืองในซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่นของเปรู..ตามข่าวแจ้งว่า “มาดามแพ”ที่ปกติก็เพลิดเพลินกับการกินอยู่แล้ว ได้ช้อปมันฝรั่งทอดกรอบสินค้ายอดฮิตของเปรูที่มีสายพันธุ์มากกว่า 3 พันชนิด รวมทั้งช็อกโกแลตที่เป็นสินค้าขึ้นชื่อของเปรูติดมือกลับมาเมืองไทยด้วย
งบประมาณรายจ่ายของแผ่นดินละลายหายไป 100 ล้านบาทกับการเดินสายเวิลด์ทัวร์ของ“มาดามแพ”ในครั้งนี้..แลกมากับความรู้สึก“ตื่นเต้น”ของเธอที่ได้เข้าร่วมประชุมเอเปก-คุ้มหรือไม่คุ้มก็ลองพิจารณากันดูนะครับ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี