วันนี้ (19 พ.ย.2567) ผลการสรรหาประธานบอร์ดแบงก์ชาติ น่าจะไปถึงมือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอเข้า ครม.
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง จะบรรลุฝั่งฝัน หรือไม่?
ท่ามกลางกระแสคัดค้านของบุคคลระดับอดีตผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล, ธาริษา วัฒนเกส, ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล และ ดร.วิรไท สันติประภพ รวมถึงนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนมาก
ล่าสุด นายเรืองไกร ทำหนังสือร้อง ป.ป.ช. ให้ตรวจสอบเรื่องนี้อีกด้วย
1. สืบเนื่องคดีฟุตซอล ?
เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2567 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ถึง ป.ป.ช. เพื่อขอให้ตรวจสอบว่านายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 ว่าจะมีส่วนร่วมรับผิดชอบตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. 31/2567 ลงวันที่ 5 กันยายน 2567 ด้วยหรือไม่
นายเรืองไกรเปิดเผยว่า ตนย้อนไปดูรายงาน กมธ. งบประมาณ 2555 พบว่า ประธานคณะ กมธ. คือ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง จึงนำคำพิพากษาคดี อม.31/2567 มาอ่านอีกครั้ง เห็นว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ในฐานะ ปธ.กมธ.งปม.2555 ควรจะมีส่วนรับผิดชอบตามคำพิพากษาดังกล่าวด้วยหรือไม่
โดยในคำร้องได้คัดคำพิพากษามาบางส่วนเพื่อขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบเป็นข้อๆ ดังนี้
ข้อ 1. คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. 31/2567 ลงวันที่ 5 กันยายน 2567 ศาลพิพากษา(หน้า 65-67)ว่า
จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 ... ลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 3 ปี 4 เดือนและปรับ 100,000 บาท ...
องค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมากเห็นว่า พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้วขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรกได้เพียง 3 เดือนเศษ และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้รับประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินอย่างใด หลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 นำคณะครูไปยังสำนักตรวจสอบพิเศษภาค 5 เพื่อแจ้งปัญหาการก่อสร้างสนามฟุตซอลไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้การบอกเลิกสัญญาในบางโรงเรียน เป็นการระงับยับยั้งไม่ให้เกิดความเสียหาย ... ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 .... ได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 3 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยที่ 1 ... ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
ข้อ 2. สาเหตุสำคัญแห่งคดีมีส่วนมาจาก คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 ได้ระบุเงื่อนไขในชั้นกรรมาธิการว่าจะต้องใช้ข้อมูลรายละเอียดประกอบการจัดสรรงบประมาณจากสภาผู้แทนราษฎรโดยการประสานงานจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ข้อ 3. ดังนั้น คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดีหมายเลขแดงที่ อม. 31/2567 ลงวันที่ 5 กันยายน 2567 จึงเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขที่คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 กำหนดไว้ ซึ่งมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานฯ
ข้อ 4. ทั้งนี้ เห็นได้จากบางส่วนของคำพิพากษาดังกล่าว ในหน้าต่าง ๆ เช่น
(หน้า 34) สำหรับขั้นตอนต่อไปได้ความว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 อนุมัติงบประมาณในแผนงานขยายโอกาสและพัฒนาการศึกษา ผลผลิตผู้จบการศึกษาภาคบังคับ งบลงทุนครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้างเป็นเงิน 4,459,420,000 บาท แยกเป็นครุภัณฑ์งานบ้านงานครัวเป็นเงิน 512,142,000 บาท ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างที่มีราคาต่อหน่วยต่ำกว่า 10 ล้านบาท เป็นเงิน 3,947,278,000 บาท
(หน้า 37) ซึ่งตามหนังสือแจ้งดังกล่าวมีคำว่า “ผู้เกี่ยวข้องในด้านการศึกษา” หมายถึง ผู้ประสานงานของพรรคการเมืองที่ได้รับงบแปรญัตติ ซึ่งมีเงื่อนไขในชั้นกรรมาธิการว่า จะต้องใช้ข้อมูลรายละเอียดประกอบการจัดสรรงบประมาณจากสภาผู้แทนราษฎร โดยจะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้แทนมาประสานงานเพื่อจัดส่งรายชื่อโรงเรียนต่างๆ ที่ได้รับงบประมาณในการก่อสร้าง แม้พยานจะทราบและเป็นผู้รับรายชื่อโรงเรียนมาเพื่อดำเนินการจัดทำเอกสารตามขั้นตอนปฏิบัติ ก็ไม่อาจปฏิเสธหรือปฏิบัติเป็นอย่างอื่นได้ เพราะจำเป็นต้องทำตามที่ถูกกำหนดมาแล้วโดยคณะกรรมาธิการ
(หน้า 38) งบประมาณที่ถูกปรับลดไว้จะกลายสภาพเป็นงบแปรญัตติ ซึ่งจะระบุเงื่อนไขไว้ในชั้นกรรมาธิการว่าจะใช้ข้อมูลจากสภาผู้แทนราษฎรที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะจัดสรรไปใช้จ่ายตามความต้องการของตนเอง เพราะฉะนั้นโรงเรียนใดจะได้รับงบแปรญัตติมากน้อยเพียงใดจะถูกกำหนดมาแล้วโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กำหนดโควตาเป็นงบประมาณของพรรคการเมือง กำหนดกรอบวงเงินเป็นรายพรรค เมื่อคณะกรรมาธิการวิสามัญอนุมัติงบประมาณแล้ว เจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณจะส่งบัญชีคุมยอดทางโทรสารมาให้นายรังสรรค์ จากนั้นนายรังสรรค์จึงส่งมอบบัญชีคุมยอดให้พยาน แล้วพยานส่งมอบบัญชีคุมยอดต่อให้แก่นางสาวสุดา เมื่อประมาณเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน 2555 มีผู้ประสานงานพรรคการเมืองมาประสานกับนายรังสรรค์เพื่อควบคุมงบไม่ให้เกินกรอบวงเงินของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ละคน ผู้ประสานงานพรรคการเมืองทยอยส่งรายชื่อโรงเรียนให้นายรังสรรค์ตามเอกสารหมาย จ.264 นายรังสรรค์เรียกพยานและนางสาวสุดาไปรับข้อมูลมาจัดทำเอกสารเสนอจำเลยที่ 2บางครั้งผู้ประสานงานของพรรคการเมืองจะประสานกับพยานหรือนางสาวสุดาโดยตรงนอกจากนี้ผู้ประสานงานของพรรคการเมืองจะประสานกับพยานหรือนางสาวสุดาโดยตรง นอกจากนี้ผู้ประสานงานพรรคการเมืองยังมอบบัญชีรายชื่อของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นผู้รับการสนับสนุนงบประมาณด้วย ตามเอกสารหมาย จ.254 หน้า 9867 ถึง 9870โดยปรากฏชื่อของจำเลยที่ 1 อยู่ในหน้า 9870 ลำดับที่ 132 เห็นว่า พยานโจทก์มีทั้งเจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณและเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานต่างเบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงกันว่ามีการรับส่งบัญชีคุมยอดฉบับดังกล่าวจริง
(หน้า 39) แต่บันทึกข้อความสำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มงบประมาณ 3 ที่เสนอจำเลยที่ 2 เพื่อพิจารณาอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ มีข้อความระบุชัดแจ้งว่า “...คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555 ได้ระบุเงื่อนไขในชั้นกรรมาธิการว่าจะต้องใช้ข้อมูลรายละเอียดประกอบการจัดสรรงบประมาณจากสภาผู้แทนราษฎรโดยการประสานงานจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้รับการประสานข้อมูลจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นบางส่วนยังไม่ครบถ้วนทั้งหมด” ตามเอกสารหมาย จ.239 และ จ.240 โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อเท็จจริงก็ปรากฏชัดอยู่ว่าได้มีการจัดสรรงบประมาณตามบัญชีรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือพรรคการเมือง เอกสารหมาย จ.254 หน้า 9867 ถึง 9870 จริง
(หน้า 40) พยานหลักฐานจากการไต่สวนฟังได้ว่า มีการจัดทำบัญชีคุมยอดรายการแปรญัตติ (ใบโควตา) จริง
(หน้า 44) เห็นว่า บัญชีรายละเอียดขอสนับสนุนงบประมาณดังกล่าว เป็นการดำเนินการตามเงื่อนไขในคณะกรรมาธิการวิสามัญว่าจะต้องรอข้อมูลจากสภาผู้แทนราษฎร โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะจัดสรรไปใช้จ่ายตามความต้องการของตนเอง บัญชีรายละเอียดขอสนับสนุนงบประมาณดังกล่าวจึงระบุไว้แต่เฉพาะรายชื่อของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ต้องการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจัดสรรงบประมาณดังกล่าวมีรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราฎรเพียงบางราย แสดงให้เห็นว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดไม่ประสงค์จะเกี่ยวข้องกับการจัดสรรงบประมาณก็จะไม่มีรายชื่อในบัญชีรายละเอียดขอสนับสนุนงบประมาณดังกล่าว
(หน้า 45-48) รวมทั้งหน้าอื่นๆ และสรรพเอกสารในสำนวน ป.ป.ช.ควรรู้ดีอยู่แล้ว
ข้อ 5. เนื่องจากผลของคดีดังกล่าว อาจทำให้เห็นได้ว่า คณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกหลายร้อยคน น่าจะมีส่วนรับผิดชอบด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 คือ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง
ข้อ 6. สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่นๆ อีกหลายร้อยคน จากหลายพรรคการเมือง รวมทั้งนายกรัฐมนตรี ที่มีชื่อปรากฏในพยานเอกสารของคดีดังกล่าว ซึ่งมีหลายหมื่นหน้า จะต้องใช้ทำการตรวจสอบอีกพอสมควร เพื่อจะได้ร้องเป็นรายๆ ไปเพราะมีการใช้งบแปรญัตติที่แตกต่างกัน หากผู้ใดมีพยานหลักฐานควรแก่การร้อง ก็จะร้องขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบต่อไป
2. จากประเด็นคำร้องข้างต้น สรุปง่ายๆ ว่า อาศัยผลจากคดีทุจริตสนามฟุตซอล มากล่าวหาว่านายกิตติรัตน์น่าจะร่วมรับผิดชอบด้วย ในฐานะประธาน กมธ.งบประมาณ ที่อนุมัติงบแปรญัตติไปสร้างสนามฟุตซอล
เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงว่า นายกิตติรัตน์ไม่ได้ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลในคดีฟุตซอลเลย ไม่ได้ชี้แจงอะไรเลย
และแน่นอนในชั้นศาล นายกิตติรัตน์ก็ไม่ได้เป็นจำเลยในคดีดังกล่าวเลย ไม่ได้ชี้แจงเลย
ในชั้นนี้ จึงน่าจะห่างไกลที่จะไปกล่าวหาว่านายกิตติรัตน์จะต้องร่วมรับผิดชอบด้วย
ยิ่งถ้าจะเอากรณีนี้ มาขัดขวางการได้รับแต่งตั้งเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติก็คงจะยิ่งห่างไกล
3. หากเทียบกับคดีข้าวบูล็อค ที่นายกิตติรัตน์ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาฯ
แต่เมื่อศาลฎีกาฯ ยกฟ้อง
อัยการสูงสุดไม่อุทธรณ์
แม้จะคาใจว่าอัยการสูงสุดเหตุใดไม่อุทธรณ์
แต่ก็ยังต้องยอมรับว่า สถานะของนายกิตติรัตน์ คือ เป็นผู้บริสุทธิ์
4. ติดตามว่า นายกิตติรัตน์จะฝ่าด่านการตรวจสอบทั้งหลาย บรรลุฝั่งฝัน เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ สำเร็จหรือไม่?
ถ้าได้เป็นแล้ว จะทำหน้าที่ลบคำปรามาส สบประมาท หรือจะยอมพลีกายรับใช้ผลประโยชน์ผู้ใด?
กรรมใดๆ ก็จะเป็นกรรมของนายกิตติรัตน์เอง ไม่ว่าจะกรรมดี หรือกรรมชั่ว
จะเดินตามรอยนายบุญทรง ที่ยังอยู่ในคุก?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี