ก็เป็นที่รับรู้รับทราบกันดีอยู่ว่า ขีดความสามารถของคณะรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้นดูย่ำแย่ ตัวนายกรัฐมนตรีก็อ่อนด้อยประสบการณ์และความนึกคิด ก็มักจะเผชิญกับการดูหมิ่นดูแคลน ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงตลกขบขัน กลายเป็นที่เหนื่อยหน่ายระอาต่อประชาชนทั่วไป อีกทั้งคณะรัฐบาลก็ดูไม่มีความเป็นตัวของตัวเองแต่ตกอยู่ภายใต้เงามืดของอำนาจของมือที่มองไม่เห็น ความน่าเชื่อถือจึงไม่เกิดขึ้น ส่งผลให้อนาคตของประเทศดูเงียบเหงาไร้ทิศทาง
สังคมก็ได้แต่หวังว่า ฝ่ายรัฐบาลจะได้ยั้งคิด ไตร่ตรอง ทบทวน และตั้งหลักใหม่ และเลิกคิดว่าประเทศไทยยังมีความโดดเด่น โดยไม่ได้คำนึงว่าถนนลงทุนสายต่างๆ นั้น ได้หันเหจากประเทศไทยมุ่งไปสู่กรุงฮานอย กรุงนิวเดลี และกรุงจาการ์ตา นั่นแหละ คือตัวชี้วัดว่าด้วยฝีมือของตัวรัฐบาล และสถานะของประเทศที่แท้จริง
เมื่อฝ่ายรัฐบาลเป็นเช่นนี้ สังคมก็อยากจะหันไปฝากความหวังที่พรรคฝ่ายค้าน โดยก่อนหน้าก็คาดคิดกันว่าพรรคฝ่ายค้านจะมีท่าทีที่เข้มข้น คึกคัก จริงจัง ดุเดือด ต่อการดำเนินการต่างๆ ของฝ่ายรัฐบาล ที่ไม่เข้าท่า เช่น
(1) โครงการประชานิยมแบบลดแลกแจกแถม หาคะแนนนิยมไปวันๆ หนึ่ง
(2) โครงการแก้ปัญหาหนี้สินต่างๆ ที่ดูครึกโครมแล้วก็ค่อยๆ เงียบไป
(3) โครงการแหล่งสันทนาการ (Entertainment complex) หรือนัยหนึ่งการมีบ่อนการพนันถูกกฎหมายเพื่อมอมเมาประชาชน โดยอ้างว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวนั้นกลับไม่มีตัวเลขว่าจะมีนักท่องเที่ยวจะทิ้งบ่อนที่มาเก๊า เกนติ้งไอร์แลนด์ และอื่นๆ ในภูมิภาคใกล้เคียงสักกี่คนเพื่อมาเสี่ยงโชคที่ไทย อย่าลืมว่าชาวต่างชาติเขามาบ้านเรา ก็เพราะต้องการมาลิ้มรสประเพณีวัฒนธรรมและความยิ้มแย้มแจ่มใสของคนไทยมิใช่หรือ
(4) โครงการสะพานบนบก (Landbridge) เชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทยที่ยังมิได้มีการจัดทำสถิติตัวเลขและการศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้นแต่อย่างใด
(5) โครงการซอฟต์ พาวเวอร์ ซึ่งก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ นอกจากการจัดงานกิจกรรม (Event) ที่ใช้งบประมาณอย่างสิ้นเปลือง
ซึ่งทั้งหมดนี้ พรรคฝ่ายค้านกลับมิได้แสดงความคิดเห็น ติชม หรือคัดค้าน หรือเสนอทางเลือกอื่นๆ แต่อย่างใด เสมือนว่าพรรคฝ่ายค้านนอนหลับทับสิทธิ์อยู่
ขณะเดียวกัน วงการธุรกิจไทยและเทศก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์การถดถอยของขีดความสามารถของไทยในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ อาทิ ในเรื่องความไม่ทันสมัยของระบบการศึกษา การค้นคว้าวิจัย การขาดบุคลากรในระดับต่างๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งด้านการสื่อสารสมัยใหม่และชีวภาพและพลังงานทดแทน ไปจนถึงเรื่องบริการทางภาครัฐที่มากด้วยขั้นตอน ด้วยหลักดุลพินิจ ที่สะท้อนความไม่โปร่งใสและการอ่อนแอของหลักธรรมาภิบาล ไปจนถึงเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ดูมีช่องโหว่ ให้มีการแทรกแซง อีกทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคก็ยังขาดความทั่วถึงเชื่อมโยงทั้งประเทศ และมักจะมีการกระจุกตัวอยู่ที่เมืองหลวงเป็นสำคัญ
รัฐบาลปัจจุบัน ดูจะลืมเลือนนโยบายเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor - EEC) ที่รัฐบาลก่อนตั้งไว้เพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับสูงต่างๆ แต่ยังไม่กระเตื้อง หรือนัยหนึ่งพูดได้ว่า EEC ตีไม่ขึ้น ซึ่งยังไม่มีการวิเคราะห์ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ และจะมีการแก้ไขกันได้อย่างไร?
ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็น่าจะเป็นเมนูอันโอชะให้กับพรรคฝ่ายค้านในการอภิปรายตลอดสมัยประชุม แต่การณ์ก็กลับมิได้เป็นเช่นนั้น มัวแต่เอาเวลาไปพูดเรื่องยิบย่อย จึงเสมือนว่าสังคมไทยมิสามารถพึ่งพาพรรคฝ่ายค้านให้เป็นหูเป็นตา และให้เป็นผู้เสนอทางเลือกทางออกที่ดีกว่า
เมื่อฝ่ายรัฐบาลแย่ คู่ไปกับฝ่ายค้านไม่ขยับ ประเทศก็คงจะย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ และฉะนั้นก็อดที่จะตั้งคำถามเชิงประชดไม่ได้ว่า แล้วจะเลือกตั้งกันไปทำไม? เพราะทั้งสองฝ่ายไม่มีใครที่จะแสดงฝีมือทำงานเพื่อประเทศได้เลย สู้ไปเอาผู้คนที่ไม่มีประวัติด่างพร้อย มีสติปัญญาและฝีไม้ลายมือ และมีความรักชาติเข้ามาบริหารประเทศจะดีกว่าหรือไม่?
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี