“สำหรับฉัน สิ่งที่ผู้นำควรมีคือความเห็นอกเห็นใจ เพราะไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน เรียนอะไรมา ท้ายที่สุด คุณต้องมีความเห็นอกเห็นใจต่อคนของคุณและชีวิตที่ดีของพวกเขา และฉันเชื่อว่าไม่ใช่แค่ผู้นำที่ควรมีสิ่งนี้ แต่ทุกคนก็ควรมีความเห็นอกเห็นใจต่อกันเพื่อให้เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้”
โอปอล สุชาตา ช่วงศรี รองอันดับ 3 Miss Universe 2024
คำตอบที่ทรงพลังและเต็มไปด้วยความหวังของผู้คนข้างต้นนี้ ได้จุดประกายให้ผู้เขียนนึกถึงเรื่องราวมากมายของ “ผู้นำ” ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 การเลือกตั้ง อบจ. ที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 และเรื่องราวอีกมากที่ผู้เขียนเชื่อว่า หลายท่านอาจเคยผ่านหรือกำลังเผชิญกับมรสุมจาก “ผู้นำ” ที่เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว แถมบางครั้งก็เป็นฝน ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายเจ็บป่วย แต่ยังส่งผลอย่างรุนแรงต่อสภาพจิตใจที่หากยังไม่ได้รับการใส่ใจด้วย “ความเห็นอกเห็นใจ” อย่างแท้จริง มรสุมลูกนี้อาจพรากอะไรไปมากกว่าที่เราจะนึกคิด
ฟังเผินๆ คำพูดของโอปอล สุชาตา ช่วงศรี อาจเป็นเพียงความคิดเห็นของคนคน หนึ่งที่มีต่อผู้นำในอุดมคติ แต่จากกระแสตอบรับอย่างล้นหลามทั่วโลกต่อคำตอบของเธอนั้นได้แสดงให้เห็นถึง จุดร่วมของประชาชนจำนวนมากที่ต้องการให้ผู้นำมี “ความเห็นอกเห็นใจ” อันสะท้อนได้จากเหตุการณ์มากมาย อย่างกรณีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47 ระหว่าง Donald Trump จาก Republican และ Kamala Harris จาก Democrat ที่มีการแสดงทัศนคติและนโยบายอันมีพื้นฐานมาจากความเห็นอกเห็นใจที่แตกต่างกัน เช่น นโยบายด้านการต่างประเทศที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดย Kamala Harris เน้นให้สหรัฐอเมริกาได้มีบทบาทในเวทีโลกมากขึ้น รวมถึงสนับสนุนให้มีพันธมิตรและการรวมกลุ่มกันมากขึ้น แต่ Donald Trump นั้นมากับนโยบายที่หลายคนรู้จักกันดีอย่าง “American First” และสนใจการรวมกลุ่มกับกับประเทศอื่นๆ ให้น้อยลง สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นว่า ด้านหนึ่งอาจใช้ความเห็นอกเห็นใจไปกับประเทศอื่นๆ มาก แต่อีกด้านเลือกที่จะใช้กับผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งภายในประเทศของตนที่แสดงให้เห็นถึงภาวะผู้นำที่มีความเห็นอกเห็นใจคนในชาติอย่างมากซึ่งอาจเป็นหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ในครั้งนี้ Donald Trump เป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งและได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 47
อีกประเด็นที่ใกล้ตัวพวกเราอย่างมาก คือ การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 ที่สำคัญอย่างมากต่อการกำหนดทิศทางของแต่ละจังหวัดว่าจะถูกพัฒนาไปในรูปแบบไหน ซึ่งก็เกิดข้อถกเถียงกันเป็นวงกว้างตั้งแต่เรื่องการวินิจฉัยคุณสมบัติของผู้สมัคร กติกาการนับคะแนนหลังการเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว และประเด็นวันที่จัดให้มีการเลือกตั้งเป็นวันเสาร์ที่มีทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นผู้นำซึ่งหากมองจากหลักความเห็นอกเห็นใจแล้วการจัดให้มีการเลือกตั้งในวันเสาร์อาจดูไม่ได้เห็นอกเห็นใจประชาชนมากนัก เพราะประชาชนจำนวนมากเดินทางออกมาทำงานที่ต่างจังหวัดกับพื้นที่ภูมิลำเนาที่มีสิทธิเลือกตั้ง ส่งผลให้ต้องมีการเดินทางเพื่อกลับไปใช้สิทธิที่กินทั้งเงินและเวลา รวมถึงการที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีแนวโน้มที่จะทำงานในวันเสาร์มากกว่าวันอาทิตย์ สิ่งนี้อาจทำให้เกิดการตัดสินใจไม่ไปใช้สิทธิของตนเพราะมีต้นทุนที่สูงเกินไป
อย่างไรก็ตาม ผู้นำสำคัญในการเลือกตั้ง อบจ. ที่จะถึง ไม่ได้มีเพียง กกต. แต่ยังมีผู้สมัครหน้าเดิมหน้าใหม่ และผู้ช่วยหาเสียง ที่อาจมีข้อพิพาทอย่างคุณทักษิณ และคุณพิธา ที่มีบทบาทอย่างมากในการช่วยหาเสียงให้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน ทั้งนี้ การต่อสู้บนความหวังของประชาชนที่ต้องการผู้นำที่เข้าใจและเห็นใจคนในพื้นที่ด้วยใจจริงผ่านนโยบายที่จะจัดทำ หากแต่ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงต้องสู้กับวิกฤตศรัทธาจากความขัดแย้งทางการเมืองหรือการท้าทายโครงสร้างอำนาจเดิมๆ ที่อาจทำให้ความเห็นอกเห็นใจถูกบิดเบือนไปด้วยความต้องการในส่วนอื่น ซึ่งอาจไม่ต่างจากการขัดแย้งกันซึ่งผลประโยชน์ (conflict of interest) มากนัก แต่หากลองมองอีกด้าน สิ่งนี้อาจเป็นเรื่องที่ดีของประชาชน เพราะประชาชนจะมีโอกาสได้รับนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของพวกเขาอย่างเห็นอกเห็นใจได้มากขึ้น อันจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน
และในฐานะที่ผู้เขียนก็อยู่ในวัยทำงานเหมือนกับผู้อ่านหลายๆ ท่าน จึงคิดว่าปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดเพียงในระดับโลกหรือระดับประเทศ แต่อาจเกิดขึ้นตั้งแต่ระดับครอบครัวไปจนถึงที่ทำงาน ซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ที่แตกต่างกันออกไป บางแห่งอาจทำงานในระดับที่เท่ากันแต่แยกส่วนกันไปตามความถนัด บางแห่งอาจทำงานในระดับที่ไม่เท่ากันแต่ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ แต่ในบางแห่งอาจจะเป็นทั้งการทำงานในระดับที่ไม่เท่ากัน แยกส่วนกันแม้จะถนัดหรือไม่ถนัด และไม่เป็นระบบ ซึ่งในที่ทำงานเหล่านั้นอาจเกิดจากการที่ผู้นำมีแนวคิดด้านความเห็นอกเห็นใจที่ต่างไป ทำให้เกิดความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างสองฝ่าย (Power Dynamic) ที่เอื้อให้เกิดโครงสร้างทางอำนาจที่ผู้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามีทางเลือกไม่มากในการทำงาน เพราะถูกกดดันจากการใช้อำนาจหรือมีความรู้สึกที่ไม่มั่นคงในอาชีพ เสมือนลอยอยู่ท่ามกลางมรสุมทางอารมณ์ที่มักมาพร้อมกับการใช้อำนาจด้วยความเคยชินผสมโรงด้วยการแสดงความเห็นอกเห็นใจที่มิอาจทำลายมรสุมที่ก่อตัวขึ้นแล้วได้ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นวัฒนธรรมขององค์กรในระยะยาว
การที่ผู้เขียนหยิบยกเรื่องราวของภาวะผู้นำและความเห็นอกเห็นใจมาเล่าในครั้งนี้ เพียงแค่ต้องการชี้ให้เห็นถึงการที่ “ผู้นำ” มักจะใช้หลักความเห็นอกเห็นใจ “ของตัวเอง” มาเป็นอาวุธเพื่อซื้อใจผู้คนที่จำเป็นต้องเดินตามทางที่ผู้นำชี้นิ้วไป หากแต่ผู้ตามทุกคนควรมีสิทธิในการเลือกเส้นทางของตัวเองอย่างเต็มที่โดยไม่ถูกความเห็นอกเห็นใจของผู้นำกดทับ สุดท้ายนี้ ขอมอบบทความฉบับนี้ให้แก่เหล่าผู้นำที่ยังเชื่อมั่นว่าความเห็นอกเห็นใจของตัวเองเป็นสิ่งที่ดี แม้สถานการณ์ตรงหน้าจะย่ำแย่เพียงใด และขออุทิศให้แก่เหยื่อของความเห็นอกเห็นใจเหล่านี้ที่ถูกกระทำเพียงเพราะมีอำนาจต่ำกว่าผู้นำตามที่เขาบอก หวังว่าคุณจะสามารถยืนหยัดอย่างเข้มแข็งเพื่อตัวเองที่ไม่ได้เป็นเพียงผู้ตามแต่ยังเป็นบุคคลที่น่าทึ่งคนหนึ่งที่โลกควรจดจำ
วสุพล ยอดเกตุ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี