มีคำถามว่ากรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย จะเอาอย่างไรกับการที่เอกชนบุกรุกและครอบครองที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย กรมที่ดินจะยังคงโฉนดให้กับผู้บุกรุกที่ดินของการรถไฟฯ หรือไม่ แล้วก็มีคำถามต่อไปว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคมจะต่อสู้เพื่อนำที่ดินที่ถูกเอกชนบุกรุกกลับคืนมาอย่างจริงจังหรือไม่
พูดเข้าประเด็นสำคัญเลยก็แล้วกันว่า ที่ดินเขากระโดง บุรีรัมย์ คือที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ย้ำว่าที่ดินกว่า 5 พันไร่ (5,083 ไร่) ที่เขากระโดงคือที่ดินของการรถไฟฯ และที่ดังกล่าวถูกเอกชนบุกรุกเข้าครอบครอง และผู้ที่บุกรุกครอบครองที่ดินของการรถไฟฯ ที่เขากระโดงรายสำคัญก็คือบุคคลในครอบครัวของนักการเมืองชื่อดังในจังหวัดบุรีรัมย์ และต้องไม่ลืมว่าศาลได้พิพากษาแล้วว่าที่ดินที่ถูกบุกรุกนั้นเป็นของการรถไฟฯ
แต่ก็นับว่าพิสดารมากที่การรถไฟฯไม่พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะเรียกเอาที่ดินของตนเองกลับคืนมาจากผู้บุกรุก แต่กลับเล่นเกมเล่นกลยื้อและโยนเรื่องไปมา โดยเล่นเกมส่งเรื่องให้กรมที่ดินถอนโฉนดและหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน ส่วนกรมที่ดินก็ไม่ทำตามเรื่องที่การรถไฟฯ ร้องขอ เพราะเห็นว่าการรถไฟฯ สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้โดยตรง
ไปๆ มาๆ กรมที่ดินไม่เพิกถอนโฉนดและหนังสือแสดงสิทธิฯ แต่ที่พิสดารกว่าก็คือกรมที่ดินอ้างว่าการรถไฟฯ ไม่มีหลักฐานชัดเจนในที่ดินของการรถไฟฯ
สรุปคือทั้งการรถไฟฯ และกรมที่ดินกำลังเล่นขายของ หรือเล่นละครกันอยู่ใช่หรือไม่ ทำไมหน่วยงานของรัฐทั้งสองแห่งนั้นไม่รักษาทรัพย์สมบัติสาธารณะ หรือว่าจิตสำนึกของการเป็นข้าราชการมันเสื่อมจนสิ้นสูญไปแล้ว เพราะว่ามันมีอิทธิพลของนักการเมืองเจ้ากระทรวงที่เกี่ยวข้องอยู่เหนือสำนึกความรับผิดชอบต่อสมบัติสาธารณะ
ย้ำอย่างหนักแน่นว่าศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ ภาคสาม ศาลปกครองกลาง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ชี้ขาดแล้วว่าที่ดิน 5 พันกว่าไร่ของเขากระโดงคือที่ดินของการรถไฟฯ แต่ถึงกระนั่น จนถึงปัจจุบันที่ดินเขากระโดงก็ยังถูกเอกชนบางรายครอบครองอยู่ต่อไป ทั้ง ๆ ที่เป็นการกระทำผิดกฎหมาย แต่ก็ยังคงทำผิดกฎหมายต่อไป
ละครตบตาประชาชนเรื่องที่ดินเขากระโดงเป็นเครื่องบ่งบอกว่าหน่วยราชการไทยไม่เคารพคำพิพากษาของศาล และยังบ่งบอกอีกว่านักการเมืองเจ้ากระทรวงมีอิทธิพล (เถื่อน) เหนือจิตสำนึกเพื่อสาธารณะของข้าราชการที่อยู่ใต้คำบงการและอิทธิพลของนักการเมือง
ในเมื่อหน่วยงานราชการไม่ทำตามคำพิพากษาของศาลแล้ว ก็มีคำถามว่าทำไมเอกชนจะต้องยอมทำตามคำพิพาษาของศาล
แต่สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าคือนักการเมืองไทยที่มีอำนาจรัฐนั้น เมื่อพวกเขามีโอกาสโกงบ้านกินเมืองแล้ว เขาเหล่านั้นจะไม่รีรอ ไม่ลังเลที่จะโกงกินให้มากที่สุด และไม่นำพาต่อกฎบ้านกบิลเมืองแต่อย่างใด เพราะเขาเหล่านั้นแสวงหาอำนาจรัฐเพื่อใช้เป็นเครื่องมือกอบโกยโกงบ้านกินเมืองมากกว่าใช้อำนาจรัฐเพื่อผลประโยชน์ของสาธารณะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี