จะเล่าเรื่อง “รามเกียรติ์” ให้ฟังสัก 1 ตอน อันเป็นตอน “สิ้นชีวิต” ของทศกัณฐ์ ที่โขนจะไม่เล่น
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า พระรามนั้น ได้ประมือกับทศกัณฐ์หลายครา แต่รบอย่างไรก็ไม่อาจเอาชนะ ไม่อาจสังหารทศกัณฐ์ได้เลย ไม่ว่าจะใช้อาวุธชนิดใด ด้วยความสงสัย จึงตรัสถามพิเภก พิเภกจึงทูลว่า ทศกัณฐ์นั้น ถอดดวงใจฝากไว้ที่พระฤๅษีโคบุตร หนุมานอาสาไปนำกล่องดวงใจ โดยให้องคตไปด้วย และทำทีขอให้ฤๅษีโคบุตรช่วยพาไปถวายตัวแก่ทศกัณฐ์ ระหว่างนั้นได้ลวงถามเรื่องกล่องดวงใจของทศกัณฐ์
พระฤๅษีตกหลุมพราง เล่าให้ฟังจนหมดสิ้น ก่อนที่จะเข้าไปในลงกา หนุมานบอกให้ฤๅษีฝากดวงใจไว้กับองคตที่นอกเมือง ฤๅษีหลงเชื่อแล้วพาหนุมานเข้าไปถวายตัว ครั้นเข้าเมืองได้แล้ว หนุมานก็ลอบสั่งความกับองคต โดยหนุมานได้เนรมิตกล่องดวงใจขึ้นใหม่ แล้วบอกว่าให้องคตนำกล่องดวงใจปลอมคอยรับหน้าฤๅษี
หนุมานเข้าเฝ้าทศกัณฐ์และแกล้งเล่าเรื่องต่างๆ นานา จนทศกัณฐ์หลงเชื่อรับหนุมานไว้เป็นลูก เสร็จแล้วฤๅษีได้ออกมาเอากล่องดวงใจจากองคต องคตจึงมอบกล่องดวงใจเนรมิตให้ แล้วรีบเหาะไปเฝ้ากล่องดวงใจทศกัณฐ์ คอยหนุมานอยู่ที่ริมฝั่งมหาสมุทร ทศกัณฐ์จัดงานสมโภชรับหนุมาน นางมณโฑเตือนไม่ให้ไว้ใจหนุมานแต่ทศกัณฐ์ไม่เชื่อ
หนุมานก็แกล้งทำเป็นเคารพรักทศกัณฐ์ แต่ไม่ยอมไหว้จนทศกัณฐ์สงสัย หนุมานบอกว่าการจะไหว้ใครนั้นต้องไหว้พระพายผู้เป็นบิดาก่อน เมื่อไม่มีลมพัดในลงกาหนุมานจึงไหว้ไม่ได้ แต่ทศกัณฐ์ก็ยังข้องใจอยู่ หนุมานจึงแกล้งอาสาไปปราบพระราม พระลักษมณ์ และจะจับพิเภกมาถวาย
ฝ่ายพระลักษมณ์เข้าใจผิดคิดว่าหนุมานไปเข้ากับทศกัณฐ์จึงไปบอกพระราม พระรามรู้ว่าเป็นอุบายของหนุมาน เมื่อยกทัพมาสมทบกับพระลักษมณ์แล้วจึงบอกว่า จะขอดูท่าทีหนุมานก่อน หากทรยศจริงจะฆ่าเสียให้ตาย
วันรุ่งขึ้น หนุมานจึงขอให้ทศกัณฐ์ยกทัพไปเป็นประธาน ส่วนตนเองจะออกรบเอง เมื่อถึงสนามรบแล้ว ได้บอกทศกัณฐ์ว่า ให้ทศกัณฐ์ตั้งทัพไว้ เมื่อเห็นตนเหาะไปสูงสามโยชน์เมื่อใด ให้ยกทัพเข้าตี แล้วหนุมานก็กำบังกายเหาะไปที่ทัพพระราม แล้วถวายกล่องดวงใจ แล้วทูลให้รีบฆ่าทศกัณฐ์เสีย แล้วเหาะกลับไปหา ชูกล่องดวงใจให้ดู ทศกัณฐ์จึงรู้ว่าเสียรู้หนุมาน จึงบอกหนุมานว่าจะกลับไปสั่งเสียก่อน แล้วจะมารบวันรุ่งขึ้น จงไปทูลแก่พระรามด้วย วันรุ่งขึ้นทศกัณฐ์ได้ยกทัพไปรบกับพระราม แล้วต้องศรพรหมาสตร์ของพระรามในเวลาเดียวกันกับที่หนุมานขยี้กล่องดวงใจจนตาย
ถ้าเปลี่ยนจาก “ทศกัณฐ์” เป็น “ทักษิณ ชินวัตร” ล่ะ
ทักษิณ ผู้ไม่เคยตายไปจากเวทีการเมืองของไทย
พ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ยังมีคนในวงศ์ตระกูลและบริวาร สืบอำนาจต่อได้ ทั้งสมัคร สุนทรเวช, สมชายวงศ์สวัสดิ์, ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, เศรษฐา ทวีสิน จนมาถึงอุ๊งอิ๊งค์-แพทองธาร ชินวัตร
“กองทัพองค์อวตาร” ก็เข้าโรมรันพันตู แต่ก็ไม่เคย “สังหารอำนาจทางการเมือง” ของ “ทักษิณ” ให้จบสิ้นไปได้เลย
สุดท้ายเข้าร่วมกับทักษิณเสียเลย ในฐานะ “พรรคร่วมรัฐบาล” ฮา...
คำถามคือ “กล่องดวงใจ” ของทักษิณอยู่ที่ไหน?
“ทักษิณ” ผู้สมควรต้องถูกจองจำในคุกเป็นเวลา 1 ปีหลังได้รับพระมหากรุณา “อภัยลดโทษ” จากคดีทุจริตต่างๆ ที่ศาลพิพากษาจำคุก 8 ปี เหลือโทษจำคุกเพียง 1 ปี ทว่า แม้แต่ 1 คืน ทักษิณก็ไม่อยู่ในคุก กลับมีอาการป่วยวิกฤตชนิดที่เรือนจำดูแลไม่ได้ ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ศักยภาพไม่พอ จนต้องนอนพักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ นานถึง 181 วัน
1) นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ในขณะนั้น) อภิปรายถึงการเลือกปฏิบัติในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการลดโทษการรักษาตัวนอกเรือนจำ และการได้รับการพักโทษตามเงื่อนไขของกรมราชทัณฑ์ของ “ทักษิณ” ด้วยการตั้งข้อสมมุติฐานว่าเป็นผู้ “ป่วยจริง” ซึ่งแพทย์ทั้งหมดที่อยู่ในกระบวนการเป็นแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามมาตรฐานหรือไม่ เหตุใดโซ่ตรวนแห่งความเชื่อมั่นจึงขาดลง ประชาชนไม่เชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมนั้นมีความยุติธรรม
2) นพ.วาโยกล่าวว่า ตนเองได้พิจารณาเบื้องต้นจากประวัติและอาการป่วยของอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีอายุ 75 ปี ว่ามีโรคความดันโลหิตสูง และกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นโรคประจำตัว โดยพบว่าในกลางดึกของวันที่ 22 สิงหาคม 2566 มีอาการแน่นหน้าอก ซึ่งหลังการตรวจร่างกายพบว่าสัญญาณชีพและความดันโลหิตสูง ความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือดต่ำ และได้รับการวินิจฉัยว่าอยู่ในภาวะอันตรายเสี่ยงต่อชีวิต ควรที่จะส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจภายในเวลาไม่ถึง 20 นาที จึงอยากขอคำตอบจากรัฐมนตรีว่าผู้ป่วยทุกคนจะได้รับการรักษาที่รวดเร็วเหมือนกรณีดังกล่าวด้วยหรือไม่
3) นพ.วาโยกล่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมต้องชี้แจงให้ชัดว่า แท้จริงนั้นโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีศักยภาพแค่ไหน สามารถรักษาอาการแน่นหน้าอกได้หรือไม่ พร้อมทั้งแสดงข้อมูลทั่วไปของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ว่า เป็นโรงพยาบาลที่มีขนาด 9 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยจำนวน 22,000 ตารางเมตร และมีเตียงรักษาผู้ป่วย 500 เตียง อีกทั้งยังมีแผนกต่างๆ อีกมาก ทั้งจิตเวช กายภาพบำบัด หอผู้ป่วยอายุรกรรม แผนกโรคต่างๆ มีเครื่องฟอกไต ฟอกเลือด รวมถึงมีห้องผ่าตัดใหญ่ครบครัน สามารถเรียกได้ว่าเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ซึ่ง สปสช. โดยกระทรวงสาธารณสุขนั้นได้จัดให้โรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายที่ต้องรับผู้ป่วยจากโรงพยาบาลราชทัณฑ์อื่นๆ ทั้ง 7 ที่ทั่วกรุงเทพมหานครด้วย
4) นพ.วาโยอภิปรายว่า ระยะเวลาการรักษาในโรงพยาบาลตำรวจอย่างนาน 181 วัน เป็นสารตั้งต้นซึ่งนำมาสู่คำถามมา 12 ข้อ อาทิ โรงพยาบาลในเรือนจำยังไม่สามารถหาข้อสรุปว่า สามารถรักษาภาวะฉุกเฉินทางหลอดเลือดหัวใจ หรือหลอดเลือดสมองได้หรือไม่, ผู้ต้องขังที่ป่วยทุกคนจะได้รับการส่งตัวถึงโรงพยาบาลนอกเรือนจำภายในระยะเวลา 20 นาที นับแต่ที่มีอาการอย่างเท่าเทียมกันทุกคนหรือไม่, มีการผ่าตัดครั้งที่ 1 หรือไม่ เกิดขึ้นเมื่อไร ใช้ห้องผ่าตัดอะไร และเข้าพักรักษาตัวที่หออภิบาลผู้ป่วยอะไร, ระหว่างที่ผู้ป่วยเจ็บแน่นหน้าอกนั้น ผู้ป่วยพ้นจากภาวะฉุกเฉินเมื่อใดและใช้เวลาทั้งสิ้นกี่วัน มีข้อบ่งชี้ในการรักษาตัวในโรงพยาบาลต่อหลังจากป่วยอีก 30 วัน หรือ 60 วันอย่างไร, หลังการผ่าตัดในครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2566 ข้อบ่งชี้การพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลยาวนานถึง 180 วันคืออะไร, ผู้ต้องขังที่ป่วยทุกคนจะสามารถขอผ่าตัดแบบทางเลือกได้หรือไม่, ตามกฎหมายห้องพักพิเศษไม่ใช่ห้องควบคุมพิเศษ เป็นห้องพิเศษที่โรงพยาบาลจัดไว้เพื่ออะไร เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร และสิ้นสุดลงเมื่อไร, ความเห็นของแพทย์ที่โรงพยาบาลตำรวจ กับรายงานของกรมราชทัณฑ์ที่ส่งให้อธิบดีมีรายละเอียดที่ไม่ตรงกัน แท้จริงมีข้อสรุปอย่างไร, รัฐมนตรีได้ตรวจสอบหรือตั้งคณะกรรมการตรวจสอบว่าแพทย์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามมาตรฐานแล้วหรือไม่,ท่านได้ตรวจสอบหรือไม่ว่าแพทย์กับพยาบาลวิชาชีพที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการทั้งหมดได้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมตามมาตรฐานจริง โดยเฉพาะในช่วงก่อนที่จะออกจากเรือนจำ
5) นพ.วาโยกล่าวว่า สิ่งที่ตนเองพูดนี้เพื่อเป็นการสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ป่วย เพราะสังคมก็เริ่มตั้งคำถามและได้รับข้อมูลที่ผิดๆ รัฐมนตรีก็ควรที่จะต้องขยายความให้ชัด ขณะเดียวกัน ก็อยากให้รัฐมนตรีไปตรวจสอบว่าแพทย์ผู้รักษาได้มีการแนะนำคนไข้อย่างถูกต้องหรือไม่ อดีตนายกรัฐมนตรีใส่เฝือกแขน ซึ่งโดยปกติใส่ได้ไม่เกิน 2 เดือน หากใส่เกินไหล่จะติด แล้วเข้าสู่ขั้นตอนการผ่าตัดใหม่อีกรอบ ต้องเจ็บตัวฟรีอีกครั้ง แต่กรณีนี้ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม ครบ 2 เดือนนานแล้ว จึงอยากถามว่าแพทย์ให้คำแนะนำถูกต้องหรือไม่
6) น่าเสียดายว่า หมอวาโยกับพรรคก้าวไกล ไม่ได้เอาจริงเอาจังที่จะยื่นเรื่องนี้ต่อให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ หลังการอภิปราย คล้ายๆ แค่หยิกแกมหยอก แต่ไม่ประหาร สุดท้าย กลายเป็น คปท. ที่ไปยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษกับ พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง และพวก กราวรูด ตั้งแต่เรือนจำ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ยันโรงพยาบาลตำรวจ พรรคก้าวไกลปล่อยเรื่องนี้เงียบไป ไม่ทำหน้าที่ “ฝ่ายตรวจสอบ” ให้ถึงที่สุด เพราะอะไร
7) จนมีเรื่องขัดแย้งกับพรรคเพื่อไทยและทักษิณจึงรุกไล่ใหม่ในวันที่เป็นพรรคประชาชน ด้วยการใช้กรรมาธิการ ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน เป็นประธาน
8) กรรมาธิการชุดนี้ เชิญตัวแทนจากเรือนจำ จากโรงพยาบาลราชทัณฑ์ และจากโรงพยาบาลตำรวจเข้าให้ข้อมูล ซึ่งแทบไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย ส่วนมากถูกปัดไปที่ข้ออ้างเรื่อง “พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” กับไม่รู้ และไม่เกี่ยว
9) ไม่เข้าใจว่า รังสิมันต์ โรม กับพวก มัวแต่ “รำถวายมือ” อะไรกันอยู่ ไยไม่ใช้อำนาจเรียก “กล่องดวงใจ” ของทักษิณมาดู มาตรวจสอบ แล้วจะกระจ่างในทุกคำถาม กล่าวคือ ทักษิณป่วยจริงหรือไม่ ป่วยด้วยอาการใดแพทย์วินิจฉัยและรักษาอย่างไร ให้การรับรองข้อมูลเป็นเท็จหรือไม่ อาการวิกฤตจนไม่อาจกลับเข้าเรือนจำ และเกินศักยภาพในการดูแลของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือไม่ โดย “กล่องดวงใจ” ที่ว่า ก็คือ “เวชระเบียน”
10) กรรมาธิการมีอำนาจตามกฎหมายที่จะออกคำสั่งเรียก และไม่ต้องกังวลกับ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 เลย เนื่องจากใน มาตรา 4 พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับแก่ (4) สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา รวมถึงคณะกรรมาธิการที่แต่งตั้งโดยสภาดังกล่าว ซึ่งเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในการพิจารณาตามหน้าที่ อำนาจ ของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา หรือคณะกรรมาธิการ แล้วแต่กรณี
เช่นเดียวกับใน (5) การพิจารณาพิพากษาคดีของศาล และการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ในกระบวนการพิจารณาคดี การบังคับคดี และการวางทรัพย์ รวมทั้งการดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
นั่นแปลว่า การตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษย์ชนแห่งชาติ แพทยสภา และ ป.ป.ช. ก็ไม่น่าจะอยู่ใต้ข้ออ้างที่โรงพยาบาลตำรวจจะไม่เปิดเผย “เวชระเบียน”
แต่ก็น่าแปลกใจ ที่ “กล่องดวงใจ” นี้ของทักษิณ กลับไม่มีสักหน่วยงานเลย ที่กล้าใช้อำนาจบังคับ
พวกเขาคงไม่ใช่ “หนุมาน” พวกเขาอาจเป็นแค่ “ลิงหลอกเจ้า”!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี