ราคาทองคำ ตั้งแต่ต้นปี 2567 พุงทะยานต่อเนื่อง ทำสถิติใหม่
โดยราคาทองคำได้สูงขึ้นกว่า 30%
ค่อยปรับลดลง ก็ตอนทราบผลการเลือกตั้งสหรัฐว่า “ทรัมป์” มา
เป็นที่น่าสนใจว่า ราคาทองคำจากนี้ไปจนถึงปีหน้า จะเป็นอย่างไร?จะขึ้นไปอีกหรือไม่?
1. ภายหลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ปรากฏว่า ราคาทองคำเริ่มปรับตัวลดลง
นั่นเพราะคาดกันว่า รัฐบาลทรัมป์จะเน้นเรื่องเศรษฐกิจของสหรัฐให้ดีขึ้นส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น และทองคำตกลงมา
นักวิเคราะห์มองว่า เป็นการปรับฐาน หลังขึ้นต่อเนื่อง
ระยะยาว ราคาทองคำยังปรับขึ้นไปได้แน่นอน จากที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังสนใจการสะสมทองคำ และยุคทรัมป์อาจจะไม่ได้ยกเลิกการทำสงครามได้หมด
2. นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก มองว่า แนวโน้มราคาทองคำในระยะสั้นยังเป็นทิศทางขาลงจากที่ทองคำเริ่มมีแรงเทขายออกมาต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น แนะนำนักลงทุนช่วงนี้ หากสามารถถือยาวได้ เป็นจังหวะที่ซื้อเก็บไว้
ในระยะยาวทิศทางราคาทองคำยังเป็นเทรนด์ขาขึ้นอยู่ อาจจะต้องรอให้ทองคำสามารถสร้างฐานได้ อาจจะเป็นช่วงเดือน ธ.ค. 2567
“เราประเมินราคาทอง Spot ปี 2568 อยู่ที่ 2,800-2,860 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แต่หากเกิดสงครามใหม่ขึ้น ราคาทองคำจะสามารถแตะระดับ 3,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ได้”
3. นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจีบูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของทองคำในช่วงนี้เป็นการขายทำกำไร หลังจากช่วงก่อนหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องขึ้นไปแตะ 2,790 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ซึ่งถือว่าปรับตัวขึ้นไปมากกว่าที่ตลาดคาด จึงทำให้มีแรงเทขายออกมารอบใหญ่
แต่ในส่วนของภาพระยะยาวนั้น ยังเป็นขาขึ้น
เพราะนอกจากความผันผวนในโลกของการลงทุนที่เกิดขึ้นจากปัจจัยที่โดนัลด์ ทรัมป์ สามารถชนะการเลือกตั้งแล้ว ก็ยังมีปัจจัยสนับสนุนอยู่อีกหลายด้าน ได้แก่
(1) การเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลกที่ยังคงเดินหน้าสะสมทองคำต่อเนื่อง
ผลสำรวจของ World Gold Council ในปี 2567 บ่งชี้ว่า “Central Bank ทั่วโลกราว 69% จะสะสมทองคำเพิ่มขึ้นในฐานะทุนสำรองต่อไปอีกอย่างน้อยในช่วง 5 ปีต่อจากนี้
โดยเทรนด์ดังกล่าวเริ่มเห็นได้ชัดเจนมาตั้งแต่ปี 2565-2566 ที่ Central Bank ได้เข้าซื้อทองคำมากถึง 1,082 ตัน และ 1,037 ตัน ตามลำดับ และในปี 2024 แม้เผชิญกับราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง แต่ Central Bank ก็ยังเข้าซื้อทองคำรวมทั้ง 3 ไตรมาสแรก (เดือน ม.ค.-เดือน ก.ย.) ในระดับที่ยังสูงถึง 669.5 ตัน
(2) เหตุผลด้านภูมิรัฐศาสตร์
แม้ว่าโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่มีนโยบายสนับสนุนการทำสงครามระหว่างประเทศ แต่การจะยุติความขัดแย้งในหลายๆ พื้นที่ก็ไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น
ประกอบกับคณะบริหาร ณ ปัจจุบัน ซึ่งยังอยู่ภายใต้รัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้อนุมัติให้ยูเครนสามารถใช้ขีปนาวุธ ATACMS ของสหรัฐโจมตีใส่ดินแดนรัสเซียได้
ทางฝั่งรัสเซียได้ตอบโต้ โดยการลงนามกฤษฎีกาหลักการใช้อาวุธนิวเคลียร์ จากประธานาธิบดีวลาดีมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย สาระสำคัญคือ หากชาติครอบครองอาวุธนิวเคลียร์นั้นรุกรานรัสเซีย ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือเป็นชาติที่สนับสนุนศัตรู รัสเซียจะใช้อาวุธนิวเคลียร์เพื่อการป้องปราม ซึ่งเป็นอาวุธขั้นสุดท้ายในสถานการณ์จำเป็น
นอกจากนี้ นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงให้เกิดสงครามการค้าขึ้นได้ในอนาคตโดยเฉพาะกับจีน
(3) ความเปราะบางทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐ
ความเสี่ยงจากการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐ ในยุคสมัยของทรัมป์ที่มีแนวโน้มกระตุ้นเงินเฟ้อให้กลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้ง จึงเกิดความกังวลถึงการที่เฟดอาจจะไม่สามารถสานต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้มากเท่าแผนการเดิม อาจจะส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ รวมไปถึง SMEs ทำให้ขยายวงกว้างจนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ทองคำจึงยังมีความสำคัญในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในระยะยาว
“สำหรับปี 2568 YLG คงเป้าหมายทองคำที่ 2,850-3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์
ขณะที่เป้าหมายของทองคำแท่ง 96.5% ในประเทศ อยู่ที่ระดับ 46,800-49,250 บาทต่อบาททองคำ (ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 34.60 บาทต่อดอลลาร์)
และอาจจะไปได้ถึง 50,000 บาทต่อบาททองคำ หากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเคลื่อนไหวใกล้โซน 35.00-35.20 บาทต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม หากเฟดยังเดินหน้านโยบายดอกเบี้ยขาลงอีก 2 ปี ทองคำก็ยังปรับตัวขึ้นได้ต่อในระยะยาว
นอกจากนี้ การประชุมใหญ่ประจำปีของสมาคมตลาดทองคำแห่งลอนดอน (LBMA) เมื่อกลางเดือน ต.ค. ผลสำรวจความคิดเห็นของคนในอุตสาหกรรมทองคำ คาดว่าราคาทองคำจะไต่ระดับขึ้นจนทำสถิติสูงสุดใหม่ในปี 2568” - ผู้บริหาร YLG กล่าว
4. ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทยเอง ก็ซื้อทองคำเพิ่มเติม และรักษาระดับการครอบครองไว้โดยตลอด
ช่วงต้นปี 2567 มีรายงานเปิดเผยว่า ธนาคารกลางที่เข้าซื้อทองคำมากที่สุด เป็นธนาคารกลางตุรกี อยู่ที่ประมาณ 30 ตัน
รองลงมาเป็นธนาคารกลางจีน อยู่ที่ประมาณ 27 ตัน ซึ่งซื้อต่อเนื่อง
ต่อมา เป็นธนาคารกลางอินเดีย 19 ตัน
ส่วนประเทศไทย แม้จะมีรายงานการถือครองทองคำสำรอง ลดลง10 ตัน ในเดือนมีนาคม 2567 แต่การลดลงของทองคำสำรองของไทยนั้น “ไม่ได้เกิดจากการขายทอง” เป็นการปรับปรุงรายงานให้สอดคล้องกับประกาศล่าสุดของ IMF ที่ระบุ definition ว่า monetary gold ต้องมีความบริสุทธิ์ อย่างน้อย 99.5% เท่านั้น
นอกจากนี้ ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ยังได้รับมอบทองคำ 12.5 กิโลกรัม จากคณะศิษย์หลวงตามหาบัวฯ อีกด้วย (รวมสินทรัพย์ที่ได้รับมอบมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ แบ่งเป็นทองคำแท่งน้ำหนักรวมประมาณ 13,117.339 กิโลกรัม และเงินตราต่างประเทศจำนวน 10,457,159.63 ดอลลาร์ สรอ.)
การที่ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น นั่นหมายความว่า มูลค่าสินทรัพย์ในทุนสำรองของไทยเรา ก็เพิ่มสูงขึ้นไปด้วย
5. ประเมินจากปัจจัยต่างๆ แล้ว มีโอกาสไม่น้อย ที่ปลายปีนี้ ราคาทองคำ มีโอกาสที่จะขยับขึ้นไปอีก ต่อเนื่องถึงปีหน้า
แต่ทุกอย่าง ก็มีตัวแปรที่ผันผวนไปได้มาก เช่น สถานการณ์ความตึงเครียดของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอลกับกลุ่มชาติตะวันออกกลาง
สรุปว่า ถ้าใครมีเงิน อยากจะซื้อทองคำ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะซื้อเก็บไว้
ยิ่งถ้าใครมีอยู่แล้ว ไม่มีเรื่องจำเป็นต้องขาย ก็ไม่ควรขาย ถือครองไว้ต่อไปได้
เพราะทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย มีความมั่นคง สู้กับเงินเฟ้อได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี