เมื่อวานวันที่ 21 พฤศจิกายน,“มาดามแพ”ได้รับเชิญไปตัดริบบิ้นเป็นประธานเปิดงานสัมมนา “PRACHACHAT THAILAND2025 โอกาส, ความหวัง, ความจริง” และกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ“ประเทศไทย :โอกาส-ความหวัง-ความจริง” จัดโดย “หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ” ณศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
แน่นอนว่าสำหรับ“มาดามแพ”นั้นต้องอ่านโพยจากไอแพดที่มีคนเขียนบทให้ และนอกจากนั้นประเด็นสำคัญที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยต้องยกมาพูด คล้ายกับผู้ป่วยโรค“ย้ำคิดย้ำทำ”ที่พยายามกรอกหูประชาชนคนไทยอยู่ตลอดเวลา..เหมือนได้ฟังแผ่นเสียงตกร่องคือ“การกระตุ้นเศรษฐกิจ”..ซึ่งใช้ปากกระตุ้นมาตั้งแต่ปีแรกที่นายเศรษฐา ทวีสินเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี..จนบัดนี้นายเศรษฐาตกเก้าอี้ไปแล้วก็ยังต้องกระตุ้นกันต่อ
ถลุงเงินงบประมาณของแผ่นดินเพื่อให้เกิดภาวะ“พายุหมุนทางเศรษฐกิจ” โดยกระตุ้นไป 1.4 แสนล้านบาทจากการใช้เงินสด ตามโครงการ“แจกเงินดิจิทัล 1หมื่นบาท”เฟสแรก ให้แก่กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคนเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็“บ้อท่า”ไม่มีอะไรเกิดขึ้นและกำลังจะแจกเฟสสองให้แก่กลุ่มผู้สูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปประมาณ 4 ล้านคนเป็นเงินสดอีกรายละ 1 หมื่นบาท
โดยเฟส 2 นี้ ผู้รู้หลายฝ่ายชี้ว่า อาจจะเข้าข่ายผิดกฎหมาย เป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง เพราะเป็นการดำเนินโครงการที่ไม่ตรงกับที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ จาก“โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท”เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจกลับกลายมาเป็น“โครงการแจกเงินสด 1 หมื่นบาทเฟส 2”อันเท่ากับเป็นการหาคะแนนนิยมโดยใช้เงินหลวง
อย่างไรก็ตาม เนื้อหาโดยสรุปที่“มาดามแพ”กล่าวปาฐกถาพิเศษก็คือ รัฐบาลมุ่งที่จะสร้างโอกาสที่จับต้องได้ให้แก่ประชาชน โดยที่ประชาชนคนไทยจะต้อง“ปากท้องอิ่ม”เป็นเป้าหมายสำคัญ
“มาดามแพ”ที่เริ่มเปลี่ยนลุคใหม่ในช่วงสองสามวันมานี้หลังกลับจากร่วมประชุมเอเปกที่ประเทศเปรู เดิมที่เคยแต่งตัวเป็นยายเพิ้งรุ่มร่ามตั้งตั้งแต่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี แบบเสื้อไปทางกางเกงไปทาง ผมเผ้าหน้าตาไม่ลงตัวเรียกว่าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเป็นคนละเรื่องเดียวกัน มาเป็นสวมใส่กระโปรงและกางเกงพร้อมเสื้อสูทที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมไทยสีเอิร์ธโทน เรียบแต่คลาสสิกดูเหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี, ได้กล่าวว่า“รัฐบาลพยายามสร้างโอกาสที่จับต้องได้ให้กับประชาชนคนไทยเพราะเรามองเห็นศักยภาพของคนไทยที่มีอยู่สูง แต่บางทีเข้าไม่ถึงโอกาสเราจะเข้ามาผลักดันตรงนี้”
“แพทองธาร ชินวัตร”นายกรัฐมนตรีผู้สืบสันดานอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ทางดีเอ็นเอกล่าวต่อพร้อมกับทำไม้ทำมือเป็นภาษากาย เพื่อทำให้คนฟังเห็นว่าไม่ได้ก้มหน้าก้มตาอ่านไอแพดอย่างเดียวตามที่ได้รับฉายา“นายกฯไอแพด”ว่า “สิ่งที่รัฐบาลจะทำเป็นอย่างแรกคือกระตุ้นเศรษฐกิจให้คนไทยกินอยู่สบาย เพราะถ้าปากท้องอิ่มศักยภาพในตัวก็จะออกมา รัฐบาลยืนยันว่าเราจะขยายโอกาสให้มากที่สุดเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ”
นอกจากนั้น, “มาดามแพ”ที่มีอีกหนึ่งฉายาว่า“มาดามแพท่องโพย”ยังได้คาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้าที่สภาพัฒฯเพิ่งจะคาดการณ์ไว้เมื่อสองวันก่อนว่า ในปี 2568 มีแนวโน้มอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 2.3-3.3 โดย“มาดามแพ”ระบุว่า ปีหน้าเศรษฐกิจจะสูงกว่าที่มีการตั้งเป้าไว้
นั้นก็ด้วยเหตุผลจากที่เธอบอกว่า มาจากการลงทุนภาครัฐและตัวเลขนักท่องเที่ยวที่พุ่งไปถึง 36 ล้านคนอันเป็นสถิติที่มีจำนวนมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 28 เปอร์เซ็นต์ทั้งนี้เป็นผลมาจากสถานการณ์โควิดที่หายไปรวมทั้งมาตรการฟรีวีซ่าที่เป็นตัวช่วย พร้อมกันนี้เธอยังเปิดเผยว่าสิ่งที่จะดำเนินการต่อไปคือ รัฐบาลจะเร่งผลักดัน Smart Airport
แปลเป็นไทยตามที่“มาดามแพ”พูดทับศัพท์ “Smart Airport” ก็คือสนามบินยุคใหม่ที่นำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในระบบต่างๆ ภายในอาคารผู้โดยสารเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและความสะดวกสบายในการให้บริการนักเดินทางทั่วโลก และเรื่องนี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ดำเนินการมาแล้วตั้งแต่ปี 2563และตามเป้าจะแล้วเสร็จในปี 2567นี้ จากการร่วมทุนโครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ที่มีมูลค่าการลงทุนกว่า 2.9 แสนล้านบาท กับ บริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชันแนลเอวิเอชัน จำกัด
อีกประการหนึ่งที่สำคัญซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ท่องเป็นคาถามาตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน คือ “ดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศ”ด้วยการเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งเรื่องนี้ปรากฏว่าเข้าปีที่สองที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล โดยที่คนไทยเห็นว่านักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ขนเงินบินผ่านประเทศไทยไปลงทุนในประเทศอินโดนีเซียและประเทศมาเลเซียที่เป็นประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อนบ้านของเรา มากกว่าที่จะแวะมาลงทุนในประเทศไทย
การ“ดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศ”ตามที่“มาดามแพท่องโพย”กล่าวในการแสดงปาฐกถาพิเศษครั้งนี้ มีอยู่ 3ทางเลือกด้วยกัน โดย“มาดามแพ”พูดว่า“สามทางรอด”ซึ่งไม่รู้ว่าอ่านโพยผิดหรืออย่างไร และทั้ง 3 หัวข้อนี้ก็เป็นนโยบายที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้“ทำแล้ว-ทำอยู่”มาแล้วเช่นกัน เพียงแต่ไม่มีโอกาสได้“ทำต่อ”เพราะคนไทยไม่ยอมเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อจะได้ทำต่อ
ประการแรก-“มาดามแพ” แจงในรายละเอียด“โอกาสเรื่องอาหารของไทยที่มีความแข็งแรง ทุกคนมองไทยเป็นครัวโลกเราจะนำเทคโนโลยีถนอมอาหารเข้ามาส่งเสริมตรงนี้เพื่อให้อาหารไทยสามารถส่งออกไปและคุณภาพยังเหมือนเดิม”
ประการที่สอง-ที่“มาดามแพ”บอกว่าเป็นทางรอด คือ“โอกาสด้านอุตสาหกรรมสุขภาพ จากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ที่พัฒนาเป็น 30 บาทรักษาทุกที่ทั่วโลกยอมรับ และอยากทำตามการรักษาพยาบาลในประเทศไทยมีชื่อเสียงในต่างประเทศหลายคนอยากเข้ามารักษาตรงนี้ เราต้องร่วมกันพัฒนาให้ไทยเป็นฮับด้านสุขภาพต้องทำให้ทั่วโลกคิดว่าอยากรักษาสุขภาพต้องมาที่ประเทศไทย”
และประการที่สาม-“มาดามแพ”ในฐานะ“ซอฟต์พาวเวอร์ไทยตัวแม่”แต่นิยมใช้แบรนด์หรูราคาแพงจากต่างประเทศ กล่าวถึง คือ “เรื่องซอฟพาวต์เวอร์เรามีวัฒนธรรมที่ต่างชาติให้ความสนใจ เราพยายามผูกทุกเทศกาลไว้ด้วยกันและให้ต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวได้ทั้งปี ให้เขาอยู่เมืองไทยนานขึ้นและใช้เม็ดเงินในไทยนานขึ้น”
ในประการที่สามเรื่อง“ซอฟต์พาวเวอร์”นี้ “มาดามแพ”ยังได้ยกเรื่องอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่นักลงทุนต่างชาติสนใจใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ รวมทั้งเรื่อง“มวยไทย” โดยกล่าวว่า“ปีที่ผ่านมามีเม็ดเงินเข้ามาในประเทศถึง 190 ล้านดอลลาร์สหรัฐเราสนับสนุนตรงนี้เพื่อดึงเม็ดเงินเข้ามาอีกทั้งต่างชาติชื่นชอบในหนังไทยอย่างเช่นเรื่องหลานม่า รวมถึงมวยไทยก็เป็นที่ชื่นชมในต่างประเทศ ประเทศอังกฤษมีค่ายมวยกว่า 4หมื่นค่าย เราจะผลักดันตรงนี้เพื่อสร้างรายได้ให้คนไทยและรัฐบาลพยายามจะสร้างฮีโร่ในทุกอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์เพื่อไปคุยกับใครเราจะภูมิใจ เวลาไปคุยกับใครทั่วโลกว่าประเทศไทยมีคนเก่ง”
บรรทัดนี้ต้องบอกว่า อันที่จริงเวลานี้คนทั้งโลกเขารู้กันดีอยู่แล้วว่าประเทศไทยนั้นมีคนเก่งอยู่มาก และคนไทยเองก็รู้สึกภูมิใจในความเป็นคนไทยของเราดีอยู่แล้ว
จะมีก็เพียงแต่“มาดามแพ”คนเดียวที่จะต้องสำรวจว่า ตนเองนั้นมีอย่างที่คนไทยคนอื่นๆ มีหรือไม่มากกว่า ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี