ตอนแรกคิดว่า เจ้าหน้าที่จัดตารางงานให้นายกรัฐมนตรีผิดพลาด เมื่อมีแถลงการณ์ออกมาว่านายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร นำคณะออก
เดินทางไปร่วมการประชุมเอเปกที่สหรัฐอเมริกา
ในเบื้องต้นคิดว่า บ้ากันใหญ่ ทั้งนายกฯและกระทรวงการต่างประเทศ แต่ก็บางอ้อ พอได้เห็นคลิปในกรุ๊ปไลน์ที่มีคนยืนข้างถนนตะโกน..อุ๊งอิ๊งค์ Get out อุ๊งอิ๊งค์ Get Out อุ๊งอิ๊งค์ Get Out ขณะขบวนรถนายกรัฐมนตรีไทยแล่นผ่านถนนสายหนึ่งในลอสแองเจลิส และวันที่ 11 พฤศจิกายน (เวลาประเทศ) นายกฯอิ๊งค์โพสต์บนเฟลตฟอร์ม X ขณะที่อยู่หมู่คนไทยวัดไทยแห่งหนึ่งใน LA
เลยพาลคิดไปว่า นายกฯอิ๊งค์ทัวร์ลอสแองเจลิสเผื่อได้เจอดาราดังสักรายสอง ได้ถ่ายรูปลงอินสตาแกรมแต่น่าเสียดาย ที่ได้พบเพียง ผู้อำนวยการสร้างหนังค่ายดังของสหรัฐ ที่นายกฯลงทุนเลี้ยงอาหารค่ำในโรงแรมหรู ไม่รู้ว่า ผลาญเงินภาษีคนไทยไปเท่าไหร่กับการได้พบคนในแวดวงอุตสาหกรรมภาพยนตร์สหรัฐอเมริกาในข้ออ้างสร้างกระแสซอฟต์ พาวเวอร์ไทยในเวทีนานาชาติ
นายกฯแถลงข่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า ได้ชักชวนผู้สร้างภาพยนตร์มาถ่ายทำในประเทศไทยได้สำเร็จ นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า เมื่อปี
ที่ผ่านมา มีการถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 450 เรื่อง จาก 40 ประเทศในประเทศไทย สร้างรายได้ประมาณ190 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งผู้สร้างภาพยนตร์สหรัฐ เป็นกลุ่มนักลงทุนอันดับหนึ่ง โดยมีภาพยนตร์ 34 เรื่องที่ถ่ายทำในไทย
ในเมื่อมีการถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยปีหนึ่งเกือบ 500 เรื่อง แล้วนายกฯ ต้องลำบากไปกระตุ้นอะไรให้มากกว่านั้นอีก จึงอนุมานได้ว่านายกฯอิ๊งค์ไปอเมริกาเป็นวาระส่วนตัว เหมือนกับผู้เป็นบิดาที่เดินทางไปฟินแลนด์ 3 วันก่อนประชุมสหประชาชาติเมื่อเดือนกันยายน 2549
ครั้งนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีเดินทางจากประเทศไทยไปพร้อมคณะและกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 50 ใบ ในเครื่องบินไทยคู่ฟ้า ซึ่งเป็นเครื่องบินประจำสำนักนายกรัฐมนตรีลำแรกและสุดท้ายของประเทศไทยนำรักษาการนายกฯไปจอดลงที่สนามบินเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์
ไม่มีรายงานว่าทักษิณทำอะไรในนามรัฐบาลไทยกับรัฐบาลฟินแลนด์ จึงได้แต่สงสัยว่าทักษิณไปทำภารกิจส่วนตัวมากกว่า เนื่องจากว่ารักษาการนายกฯในขณะที่ประเทศไทยไม่มีสภา รักษาการนายกฯไม่มีสิทธิ์หน้าที่ตามกฎหมายเจรจาตกลงใดๆ กับต่างประเทศไม่ได้
แต่หลังจากเครื่องบินไทยคู่ฟ้าจอดคา สนามบินเฮลซิงกิ สองวันต่อมา มีรายงานว่า ทักษิณสั่งเช่าเหมาลำเครื่องบินสายการบินไทยบินอีกหนึ่งลำไปรับตนและคณะที่เดินทางไปล่วงหน้า ที่สนามเฮลซิงกิ พนักงานโหลดกระเป๋าบอกสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า เครื่องบินเช่าเหมาลำของสายการบินไทยออกเดินทางไปพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 75 ใบกับผู้โดยสารคุมกระเป๋าเดินทางชุดนั้นไป 7 คน
ทักษิณกับคณะที่เดินไปก่อนหน้า 3 วัน และกระเป๋าเดินทาง 50 ใบใหญ่ๆ ถ่ายโอนจากเครื่องบินไทยคู่ฟ้าไปขึ้นเครื่องบินสายการบินไทยที่เช่าเหมาลำตามไป พร้อมกระเป๋าใหญ่ 75 ใบ และแล้วเครื่องบินเช่าเหมาลำสายการบินไทยก็นำทักษิณและคณะเหินฟ้ามุ่งหน้าสู่มหานครนิวยอร์ก ที่ทักษิณมีเป้าหมายปราศรัยในที่ประชุมสหประชาชาติ
ทิ้งเครื่องบินไทยคู่ฟ้า กับลูกเรือไว้ ที่สนามบินเฮลซิงกิ ลูกเรือและนักบินไทยคู่ฟ้า นั่งรอนอนรอว่า จะได้รับเกียรติบินนำ รักษาการนายกฯกลับประเทศไทย แต่การรอคอยของลูกเรือ และเครื่องบินไทยคู่ฟ้าที่สนามบินเฮลซิงกิ เป็นการสูญเปล่า ทั้งเวลาและเงินงบประมาณ เนื่องจากทักษิณถูกยึดอำนาจก่อนได้ปราศรัยในที่ประชุมสหประชาชาติตอนค่ำวันที่ 19 กันยายน 2549 (ตามเวลาประเทศไทย)
ยกเรื่องนี้มาทวนความจำ เพื่อให้ผู้เสียภาษีไทยที่เงินภาษีถูกผลาญไปกับการเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี ที่ไม่มีความจำเป็น การประชุมเอเปก ครั้งที่ 31 มีขึ้นในกรุงลิมา ประเทศเปรู 3 วันเริ่มเมื่อวันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน (ตามเวลาประเทศไทย) แต่นายกฯแพทองธาร ออกจากประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน
การแถลงข่าวเป็นทางการระบุว่า นายกฯได้ประชุมให้นโยบายกับทูตต่างประเทศในทวีปยุโรปและอเมริกา ซึ่งก็ถือว่าใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า เพราะสมัยนี้ มีเทคโนโลยีล้ำยุค สามารถเทเลคอนเฟอร์เรนซ์กันทั่วโลกได้หรือไม่ ก็เรียกทูตกลับมารับนโยบายในประเทศไทย โดยที่นายกฯไม่ต้องทิ้งลูกทิ้งสามี ไปนานจนบ่นว่า “คิดถึงลูก..”
สาระสำคัญการประชุมเอเปก กระทรวงต่างประเทศแถลงว่า.. “รัฐมนตรีต่างประเทศ มาริษ สงวนพงษ์ เข้าร่วมการกล่าวปาฐกถาของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ในการประชุม APEC CEO Summit กรุงลิมา ถึงแนวทางขับเคลื่อนประเด็นสุขภาพและการรับมือกับสังคมสูงอายุ รวมถึงความสำเร็จของไทยในการใช้นโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้า และเทคโนโลยีดิจิทัล ยกระดับการให้บริการทางสาธารณสุข ตลอดจนความพร้อมของไทยในการเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ระดับภูมิภาคและโลก..”
ที่ไม่เข้าใจ คือ ทำไมนายกฯต้องไปอเมริกาก่อนหน้าประชุมเอเปก 3 วันผู้นำประเทศอาเซียนอื่นๆ ที่ไปเยือนสหรัฐ ล้วนมีวาระสำคัญ คือ พบปะกับผู้นำด้วยกันทั้งนั้น อาทิ นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ นายกฯมาเลเซีย หรือประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เมื่อเดินทางเยือนไปสหรัฐ ต้องได้พบปะหารือทวิภาคีกับผู้นำสหรัฐแทบทุกครั้ง
ล่าสุด วันที่นายกฯอิ๊งค์ถูกโห่ไล่ใน LA วันนั้น ประธานาธิบดี ซูเบียนโต ปราโบโว ประธานาธิบดี ป้ายแดงอินโดนีเซีย พบปะทวิภาคีกับประธานาธิบดี โจ ไบเดน ในทำเนียบขาว ตกเย็น แอนโทนี บลิงเคนรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ เลี้ยงอาหารค่ำปราโบโวนอกจากนั้น ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ยังได้พูดโทรศัพท์กับ ว่าที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก่อนปราโบโวบินลัดฟ้าไปประชุมเอเปก ที่เดียวกับนายกรัฐมนตรีไทย
จะเห็นได้ว่าผู้นำต่างประเทศเดินทางไปเยือนประเทศหนึ่งประเทศใด เขามีกำหนดล่วงหน้าว่า จะพบใครวาระหารือเรื่องอะไร ซึ่งต่างกับผู้นำไทยในยุคสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทย หกเดือนแรกของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน เขาทำสถิติเดินทางต่างประเทศ 17 ครั้งในการเดินทางเยือน 15 ประเทศที่ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ได้ทำข้อตกลงทำความเข้าใจร่วมกัน หรือ MOU กับประเทศใด นอกจากเอาผ้าขาวม้าพันคอ สวมถุงเท้าแดง โชว์ซอฟต์ พาวเวอร์ไทยแล้วกลับมาคุยโวจะจัดแข่งกรังด์ปรีซ์ ที่จังหวัดเชียงใหม่ ต้นปี 2568
ในห้วงเวลา 2 เดือนแรกของน.ส.แพทองธาร เธอเดินทางไปประชุมเอซีดีในกรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ ร่วมประชุมอาเซียนซัมมิต ในเวียงจันทน์ ประชุมความร่วมมือ แม่น้ำโขง-อิรวดี ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน และล่าสุดไปร่วมประชุมเอเปกในกรุงลิมา ประเทศเปรู
การร่วมประชุมนานาชาติที่กำหนดล่วงหน้าเป็นประจำทุกปีพอรับได้ แต่การเดินทางไปต่างประเทศตามวาระส่วนตัว แบบที่ไปทิ้งเครื่องบินไทยคู่ฟ้า ไว้ที่สนามบินเฮลซิงกิ หรือ การเดินทางไปให้คนไทยโห่ไล่ ตลอดถึงไปเที่ยววัดไทย ใน LA ถือเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณและใช้เวลาสูญเปล่าโดยใช่เหตุ
หากคิดจากสร้างภาพให้โลกจำ ลองทำแบบนายกรัฐมนตรี ลอว์เรนซ์ หว่อง ของสิงคโปร์ ที่นั่งสายการบินโลว์คอสต์ กลับบ้านหลังการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในเวียงจันทน์ ออกจะเฉิ่มไปบ้าง แต่ก็ได้ผลในการสร้างภาพ สื่อต่างประเทศทั่วโลกเสนอข่าวนั้นกันถ้วนหน้า
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี