บอกไม่ถูกว่า เมื่ออ่านข่าวการให้สัมภาษณ์ของนายวรชัย เหมะ แล้ว คำบางคำก็โผล่ขึ้นมาในความคิด
ขี้ข้า - น. ทาส ไพร่
ทาส, คำนาม 1.ผู้อุทิศตนแก่สิ่งที่เลื่อมใสศรัทธา เช่น ทาสความรู้, ผู้ที่ยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ทาสยาเสพติด ทาสน้ำเมา 2.บ่าวทั่วไป, ผู้ที่ขายตัว หรือถูกบังคับลงเป็นคนรับใช้
ผมไม่รู้หรอก ว่า นายวรชัย เป็น “ขี้ข้า” ใครไหมเป็นทาสของใครไหม คงต้องให้วิญญูชนทั้งหลายพิจารณาจากพฤติกรรมกันดู
1) นายวรชัย เหมะ อดีตสส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯออกมาบอกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯจะเดินทางกลับมาประเทศไทย ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นอดีตนายกฯที่ทำงานให้กับประเทศชาติ แต่กลับมาถูกดำเนินคดีในความผิดปล่อยปละละเลยในโครงการรัฐ จนไม่สามารถอยู่ในประเทศได้
“ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะคดีเกิดขึ้นหลังจากการรัฐประหารในปี 2556 ท่ามกลางบรรยากาศมาตรา 44 ที่ให้อำนาจสูงสุดแก่คณะผู้ทำการรัฐประหาร ประกอบกับในวันนั้น มีการใช้มาตรา 44 ตั้งคณะกรรมการเดินหน้ายึดทรัพย์ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำย้อนหลังใดๆ ทั้งสิ้นที่สำคัญดำเนินการก่อนที่คดีอาญาจะสิ้นสุด ถือว่าเป็นการชี้นำคดีอาญาหรือไม่ อยากถามสังคมว่า แบบนี้แล้วน.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ได้รับความเป็นธรรมใช่หรือไม่ ตนเชื่อว่าคนในสังคมไทยที่มีใจเป็นธรรมคงมองเรื่องนี้ไม่ต่างจากตน” นายวรชัย กล่าว
นายวรชัย กล่าวว่า ส่วนที่นายทักษิณ พูดว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ จะกลับประเทศไทยนั้น เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่มีความชอบธรรมที่คนไทยทุกคนต้องได้กลับประเทศ และวันนี้คนไทยต้องการความสามัคคีปรองดอง เดินหน้าประเทศไทย เพราะฉะนั้น การกลับมาของน.ส.ยิ่งลักษณ์ จึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย
และเท่าที่ทราบมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเดินทางกลับประเทศและเข้าสู่กระบวนการบังคับโทษตามกฎหมายราชทัณฑ์ ไม่ใช้สิทธิพิเศษใดๆ ทั้งสิ้น ขอให้ฝ่ายแค้นอย่าเอาประเด็นนี้มาเป็นประเด็นการเมือง เพื่อโจมตีทำลายรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย อย่าขยายความขัดแย้งนำไปสู่ความวุ่นวายของประเทศ เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าให้รัฐบาลได้แก้ปัญหาทั้งเรื่องความยุติธรรมและปัญหาปากท้องของประชาชน
2) นายวรชัยจะพูดเองเออเองอย่างนี้ นับว่าใช้ไม่ได้ เพราะคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตัดสินโดยองค์คณะของศาล ไม่ได้ตัดสินโดยคณะรัฐประหาร มีการไต่สวน มีการโต้แย้ง ตามกระบวนการต่อสู้คดีในศาลทุกประการ คำถามคือ นายวรชัยต้องการช่วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้เป็นนาย ด้วยการ “ใส่ความศาล” ว่าตัดสินไม่ยุติธรรม หรือเพียงต้องการบิดเบือนในช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายปี ผู้คนอาจจะลืมไปแล้ว หรือมิได้ใส่ใจจะกลับไปตรวจสอบเพื่อดูว่า คำพูดของนายวรชัยนั้น ตรงกับความจริงที่เคยเกิดขึ้นแค่ไหน หรือพูดด้วยความโง่เขลาเท่านั้น
3) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ คำพิพากษาของศาลฎีกาแนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เรื่อง ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (คดีหมายเลขดำ ที่ อม. 22/ 2558 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 211 / 2560 ระหว่างอัยการสูงสุด โจทก์ กับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำเลย
คำพิพากษาฉบับเต็มมีจำนวน 71 หน้า ส่วนที่เกี่ยวกับคำพิพากษาในความผิดของนางสาวยิ่งลักษณ์ อยู่ช่วงท้ายหน้า 69 ถึงหน้า 70 ใจความว่า “ในส่วนการระบายข้าว ที่แอบอ้างว่า เป็นการขายแบบรัฐต่อรัฐก็เช่นเดียวกัน จำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้ารัฐบาลและประธานคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ (กขช.) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการควบคุม ตรวจสอบกำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย วางมาตรการโครงการที่อนุมัติไปแล้ว ทั้งมีอำนาจสั่งการข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ในการกำกับดูแล การระงับยับยั้งหรือแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการทุจริตในขั้นตอนการระบายข้าว แต่จำเลยกลับมีพฤติการณ์ในการละเว้นหน้าที่ตามกฎหมาย ส่อแสดงเจตนาออกโดยแจ้งชัดอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ นายบุญทรง(เตริยาภิรมย์) กับพวกแสวงผลประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าว โดยการแอบอ้างนำบริษัท GSSG และ บริษัท Hainan grain เข้ามาทำสัญญาซื้อข้าวในราคาต่ำกว่าท้องตลาดตามประกาศของกรมการค้าภายใน แล้วมีการหาประโยชน์ที่ทับซ้อนโดยทุจริตได้ข้าวส่วนต่างจากราคาข้าวตามสัญญาซื้อขาย 4 ฉบับ อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ และเกิดผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินโดยตรง ถือได้ว่าเป็นการกระทำทุจริตต่อหน้าที่ในความหมายตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2552 มาตรา 4...
ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กระทรวงการคลัง ประเทศชาติ หรือผู้หนึ่ง
ผู้ใดอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2552 มาตรา 123/1
พิพากษาว่า “จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม ) พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2552 มาตรา 123/1 เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2552 มาตรา 123/1 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 5 ปี”
4) สำหรับพฤติการณ์ที่นำมาสู่คำพิพากษา เป็นผลสืบเนื่องจากโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)ซึ่งศาลฎีกาฯ มีคำวินิจฉัยว่า เป็นการขายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีการแอบอ้างสัญญาจีทูจี เพื่อนำข้าวมาเวียนขายแก่ผู้ค้าข้าวในประเทศ เป็นการแสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริต ที่ผ่านมามีข้อมูล ทั้งการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน การตั้งกระทู้ถามในสภา และข่าวจากสื่อมวลชน แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับไม่ระงับยับยั้งจนเกิดความเสียหาย
5) ยิ่งลักษณ์และทนายโต้แย้งว่า - จำเลยมีมาตรการป้องกันความเสียหายแล้ว อีกทั้งเป็นรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง ต้องดำเนินนโยบายตามที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ครม.จึงไม่มีอำนาจยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว
ศาลอธิบายว่า - จากการไต่สวนของศาลฯ พบว่า ทั้ง ป.ป.ช. และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ได้ทำหนังสือถึงรัฐบาลหลายครั้ง เพื่อชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว การทุจริตและขั้นตอนที่ไม่สามารถควบคุมให้เกิดประสิทธิภาพได้ ผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน พร้อมจัดทำข้อเสนอให้ปรับเปลี่ยนนโยบาย อย่างไรก็ตาม ครม.ได้อนุมัติโครงการรับจำนำข้าวรวม 5 ฤดูกาลผลิต นับจากปี 2554-2557
หากพิจารณาข้อเท็จจริงตามที่มีการรายงานข้อมูลต่อที่ประชุม กขช. พบว่าเกิดปัญหาหลายประการ เช่น การสวมสิทธิ์ชาวนา นำข้าวจากต่างประเทศมาจำนำ ออกใบประทวนเท็จ ใช้เอกสารปลอม ขนข้าวโดยไม่ได้รับอนุญาต เปิดจุดจำนำนอกพื้นที่ ฯลฯ โดยพบผู้กระทำผิดรวม 7,096 คน (รายงานครั้งที่ 1 จำนวน 1,184 คน
ครั้งที่ 2 จำนวน 2,042 คน และครั้งที่ 3 จำนวน 3,870 คนและมีการดำเนินคดี 105 คดี
แม้ กขช. และ ครม. ได้ออกมาตรการป้องกันความเสียหาย แต่เมื่อถึงขั้นตอนการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ได้ก่อให้เกิดปัญหาการทุจริต สร้างความเสียหาย
ต่อเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นภาระงบประมาณแผ่นดินจำนวนมาก ปรากฏข้อมูลตามรายงานของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ที่มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน รวม 3 รอบบัญชี ซึ่งจนถึงเดือน ก.ย. 2557 พบว่ามีการใช้งบประมาณในการดำเนินโครงการนี้ไปแล้วกว่า 8 แสนล้านบาท เกินจากกรอบงบประมาณ 5 แสนล้านบาทที่รัฐบาลกำหนดไว้ อีกทั้งยังขาดทุนไปกว่า 5.85 แสนล้านบาท และยังมีหนี้ค้างชำระเพิ่มต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าแผนบริหารจัดการข้าวของรัฐบาลขาดประสิทธิภาพและประสิทธิผล
“หลังจำเลยรู้ข้อมูลคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ ก็เพียงแต่ ‘เห็นชอบตามที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำเสนอ และจะนำข้อสังเกตและข้อเสนอของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ เสนอ ครม. เพื่อทราบ’ เท่านั้น หากจำเลยให้ความสำคัญ ผลการดำเนินการก็จะเกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพมากกว่านี้”
6) ยิ่งลักษณ์ต่อสู้ว่า - การนำสำนวนคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์กับพวก มาร่วมพิจารณาด้วย อาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จากการไต่สวนของศาลฯ พบว่า จำเลยรับรู้ข้อมูลของการระบายข้าวแบบจีทูจี ระหว่างกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กับบริษัทกว่างตง และบริษัทไห่หนาน ของสาธารณรัฐประชาชนจีน รวม 4 สัญญา เป็นอย่างดี โดยจำเลยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเมื่อวันที่ 9 ต.ค. 2555 ยืนยันว่า “มีการส่งออกจริง” และ “เห็นสัญญาซื้อขายแล้วค่ะ” แสดงว่าจำเลยรับรู้เรื่องการระบายข้าวที่สมอ้างว่าเป็นการระบายแบบจีทูจี แต่ความจริงเป็นการนำข้าวมาเวียนขายในประเทศ ให้คนบางกลุ่มเข้าแสวงหาผลประโยชน์
ก่อนเริ่มโครงการทาง สตง. และ ป.ป.ช. ได้ทำหนังสือถึงรัฐบาล แสดงว่าได้รับทราบข้อมูลเป็นระยะๆ แต่จำเลยไม่ติดตามตรวจสอบ จะเห็นว่าไปประชุม กขช. แค่ครั้งแรก เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2554 ส่วนการประชุม กขช. อีก 22 นัด หาได้ร่วมประชุมเพื่อติดตามให้โครงการมีประสิทธิภาพตามที่บอกไว้ นอกจากนี้ยังแต่งตั้งพ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ หรือ “หมอโด่ง” เป็นอนุกรรมการเกี่ยวกับการระบายข้าวหลายชุด ซึ่งต่อมาหมอโด่งตกเป็นจำเลยคดีทุจริตการระบายข้าวแบบจีทูจี
อีกทั้งยังมีข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก ทั้งจากการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน การตั้งกระทู้ถามในสภา แทนที่จำเลยจะระงับยับยั้งความเสียหาย แต่กลับยืนยันที่จะดำเนินโครงการต่อไป จนเกิดความเสียหายมากขึ้นเรื่อยๆ
“เมื่อนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ถูกกล่าวหาว่าทุจริต และมีตำแหน่งเป็นถึงรัฐมนตรี การรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบ แล้วรายงานผลขึ้นมาไม่เพียงพอ หากไม่มีการปล่อยปละละเลย ก็จะไม่กระทบงบประมาณแผ่นดินขนาดนี้”
“นับจากวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ 26 พ.ย. 2555 ยังมีเวลาเพียงพอในการตรวจสอบ หากจำเลยจะตรวจสอบอย่างจริงจัง เหมือนกรณีที่สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบโครงการข้าวถุงราคาถูก แต่กรณีกลับไม่ดำเนินการ ทั้งที่ทำได้โดยอาศัยอำนาจนายกรัฐมนตรี จึงมีพฤติการณ์ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และส่อแสดงเจตนาให้นายบุญทรงกับพวก แสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริตจากโครงการ โดยสมอ้างว่าเป็นการระบายข้าวแบบจีทูจี ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศ ซึ่งถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่”
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 ลงโทษจำคุก 5 ปี โดยมีมติเอกฉันท์ไม่รอลงอาญา
สรุป : ผมจึงอยากถามนายวรชัย เหมะ ว่า
1.ศาลตัดสินผิด หรือไม่ยุติธรรมตรงไหน
2.ยิ่งลักษณ์หนีออกนอกประเทศไปเอง ไม่มีใครเสือกไสไล่ส่ง มีแต่คนต้องการให้มาติดคุก ทำไมไม่กลับมาทั้งๆ ที่กลับมาได้ทุกวัน เพราะหาทางที่จะไม่ติดคุกใช่หรือไม่
3.ถ้ายิ่งลักษณ์กลับมา แล้วยอมติดคุก ก็ไม่มีใครมีปัญหา
4.อยากให้วรชัยช่วยนำ “เวชระเบียน” ที่อ้างอาการป่วยขั้นวิกฤตจนไม่ต้องอยู่ในคุกของนายทักษิณ ชินวัตรมาให้ ป.ป.ช. และประชาชนได้ดู เพื่อยืนยันว่าป่วยจริง ป่วยสุจริต และกระบวนการของราชทัณฑ์ ของหมอ ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย และจรรยาในวิชาชีพทุกประการ ทำทุกอย่างให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นกันไหมทั้งพี่ทั้งน้อง และทั้งลูกน้องด้วย
5.และหากคิดจะใช้ “กฎหมายนิรโทษกรรม” ช่วยยิ่งลักษณ์ละก็ ขอให้วรชัยหันกลับไปดูบทเรียนเมื่อครั้งที่ตนเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์
อีกครั้ง ว่า นำความฉิบหายมาสู่รัฐบาล และบ้านเมืองอย่างไร และควรสำนึกสำเหนียกให้ได้ ว่า ไม่ควรทำอีก
กลับมาเถอะครับ คุณยิ่งลักษณ์ มาเป็นตัวอย่างให้แก่พี่ชายและโคตรญาติ ว่า เราจะไม่ทิ้งลูกน้องให้ติดคุกแทนเรา หรือติดคุกกันตามลำพัง รวมถึงข้าราชการที่ “สนองนโยบาย” ทุกคนที่ต้องเข้าคุกด้วย
เลิกเป็น “ไอ้อีขี้ขลาด” และ “เอาเปรียบ”คนอื่นได้แล้ว
หยุดโกง-อย่าโกงแม้กระทั่งการติดคุกเลย!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี