ทุกวันนี้ว่าไปแล้วประชาชนคนไทยว้าเหว่ พึ่งใครไม่ได้ ทั้งรัฐบาลและข้าราชการประจำ ตลอดจนนักการเมืองฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร..เมื่ออดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร กลับขึ้นมามีอำนาจอีกครั้ง หลังจากต้องระเห็จหนีออกจากประเทศไทยไปเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างประเทศนับสิบปี
20 ปีที่แล้วในสมัยที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลผูกขาดอำนาจ โดยมี“ทักษิณ ชินวัตร”..ซึ่งคนไทยจำนวนหนึ่งคิดและเชื่อว่า“รวยแล้วไม่โกง”เป็นนายกรัฐมนตรี..เทียบกับรัฐบาลในปัจจุบันที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาลผสม และมี“แพทองธาร ชินวัตร”ที่คนไทยเห็นว่าด้อยปัญญาและไร้ความสามารถเป็นนายกรัฐมนตรี..สามารถพูดได้ว่าเป็น“หนังเรื่องเดียวกัน”
เวลา 20 ปีที่ผ่านมาและผ่านไปเหมือนคนนอนหลับแล้วตื่นขึ้นมา..ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม..โครงหน้า“สี่เหลี่ยม”ของ“ทักษิณ ชินวัตร”ในฐานะนายกรัฐมนตรีดูเต่งตึงอ่อนวัยเป็นเด็ก..จากใบหน้าที่เป็นบุรุษเพศไว้ผมสั้น ก็กลายเป็นหน้าของหญิงสาวไว้ผมยาว แต่งตัวเป็นยายเพิ้ง ใช้“ไอแพด”เป็นกลไกแทนสมอง
แต่ความเป็นจริงก็คือความเป็นจริง ว่า“ทักษิณ ชินวัตร”ที่ได้หลบหนีคดีทุจริตโกงบ้านกินเมือง ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาตัดสินจำคุก 8 ปีจากทั้งหมด 3 คดี และได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี..ได้หวนคืนสู่อำนาจอีกครั้งหลังจากที่หลบหนีไป 15 ปีกว่าแล้วกลับเข้ามาในประเทศไทย
“ทักษิณ ชินวัตร” ก็ยังเป็นทักษิณคนเดิมที่ไม่เคยสำนึกในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไประหว่างอยู่ในอำนาจ..จนมีคดีทุจริตติดตัวและต้องหลบหนีออกจากประเทศ..ปากบอกว่าจะกลับมาเลี้ยงหลานในบั้นปลายของชีวิต ก็กลับกระทำตรงกันข้าม..เข้าไปสู่วังวนอำนาจเหมือนเดิม จาก“ผู้เล่น”ก็มายืนเป็น“ผู้ชักใย-บงการ”อยู่ข้างหลัง..โดยมี“แพทองธาร ชินวัตร”บุตรสาวผู้สืบสันดานเป็นตัวตายตัวแทน
เมื่อทูลเกล้าฯถวายฎีกาเพื่อขอพระราชทานพระมหากรุณาลดหย่อนผ่อนโทษ..ได้กราบบังคมทูลดังรายละเอียดในฎีกา ตามเนื้อหาในราชกิจจานุเบกษา ที่ประกาศ ณ วันที่ 1 กันยายน 2566 ว่า..“เมื่อถูกดำเนินคดีและศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก..ด้วยความเคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา ขณะนี้อายุมาก มีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยต้องเข้ารักษาพยาบาลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ”
แต่ก็ปรากฏว่า เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว จึงพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษจำคุกจาก 8 ปีเหลือ 1 ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษา เพื่อนักโทษผู้นี้จะได้ใช้ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ช่วยเหลือและทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ สังคม และประชาชนสืบไป..ซึ่งแทนที่“ทักษิณ ชินวัตร”จะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ก็กลายเป็นผู้ตระบัดสัตย์
อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ได้อาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย..โดยความร่วมมือของข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำ..อ้างว่าป่วยวิกฤตเพื่อหลีกเลี่ยงการติดคุกในเรือนจำ ด้วยการไปนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ..จนได้รับการพักโทษกลับไปอยู่ที่“บ้านจันทร์ส่องหล้า”และพ้นโทษในเวลาต่อมา โดยที่ไม่เคยติดคุกตามกำหนดโทษซึ่งได้รับพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษเหลือ 1 ปี..แม้แต่วันเดียว
มิหนำซ้ำ เมื่อพ้นโทษจากการเป็น“นักโทษเทวดา”ที่ไปพักอาศัยอยู่ในห้อง วีไอพี.บนชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ และกำลังเป็นคดีความอยู่ในชั้นการพิจารณาสอบสวนของ ป.ป.ช.กรณี“ป่วยเท็จ”อยู่ ณ เวลานี้..“ทักษิณ ชินวัตร”ก็ยังกลับคำว่า..“ผมก็เป็นเหยื่อรายหนึ่ง”จากการถูกดำเนินคดีทุจริตจนกระทั่งศาลฯมีคำพิพากษาสั่งจำคุก และรวมทั้งคดีความผิดเกี่ยวกับมาตรา 112 ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอาญาในเวลานี้ด้วย
ย้อนกลับไปดูคดีทุจริต 3 คดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาตัดสินสั่งจำคุก“ทักษิณ ชินวัตร” และทักษิณได้ถวายฎีกากราบบังคมทูลว่า “ยอมรับผิดในการกระทำ มีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา”
คดีที่ 1 คดีทุจริตโครงการหวยบนดิน ศาลฯพิพากษาว่า“ทักษิณ ชินวัตร”มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 57 ลงโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา
คดีที่ 2 คดีให้ธนาคารเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้เงินแก่เมียนมา 4 พันล้านบาท ศาลฯพิพากษาว่า “ทักษิณ ชินวัตร”มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 (เดิม) ลงโทษจำคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา
โดยที่ทั้ง 2 คดีนี้ซึ่งรวมโทษที่ศาลฯสั่งจำคุก 5 ปีนั้น..ศาลฯได้นับโทษซ้อนกันรวมกำหนดโทษจำคุก 3 ปี..เท่ากับว่าโทษลดไป 2 ปี
คดีที่ 3 คดีให้นอมินีถือหุ้น“ชินคอร์ปฯ” มีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยเข้าไปมีส่วนได้เสียในกิจการโทรคมนาคม อันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม ศาลฯพิพากษาสั่งจำคุก“ทักษิณ ชินวัตร” 5 ปี ไม่รอลงอาญา
และอย่างที่กล่าวไว้ตอนต้นว่า เวลานี้ประชาชนคนไทยว้าเหว่ ไม่สามารถพึ่งใครได้ เมื่ออดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร กลับมามีอำนาจดังเดิมเหมือนสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในอดีต ซึ่งการกล่าวบนเวทีของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการและเจ้าของรายการสนธิทอล์ค ในกิจกรรมเสวนา“ความจริง มีหนึ่งเดียว เพื่อชาติ ครั้งที่ 4” ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมาชัดเจนว่า เมื่อทักษิณกลับมา..“สิ่งแรกที่ทำคือเอาส้นตีนขยี้กฎหมายไทยทันที”
และประเด็นสำคัญที่“สนธิ ลิ้มทองกุล”พูดถึง“ทักษิณ ชินวัตร”กรณีเกาะกูด บนเวที“ความจริง มีหนึ่งเดียว”ครั้งนี้ โดยกล่าวถึง“ภูมิธรรม เวชยชัย”รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ให้สัมภาษณ์เรื่องเกาะกูดว่า “ไม่รู้เรื่อง MOU 44 อย่าพูด” ซึ่งสนธิบอกว่า
“ผมอยากจะตอบว่า กูรู้มานานแล้วว่านายมึงน่ะ-ขายชาติ” ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี