ปรากฏการณ์ล้ม “บ้านใหญ่” ตระกูล “เดชเดโช” ที่นครศรีธรรมราช จนพลาดเก้าอี้นายกฯ ของแม่รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ “นายชัยชนะ เดชเดโช” นั้น ถูกตีความกันไปสารพัด
1) “ดร.สติธร ธนานิธิโชติ” ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้าให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอิศรา วิเคราะห์ปรากฏการณ์“ล้มบ้านใหญ่” ว่า ตระกูลเดชเดโช เป็น “บ้านใหม่” ขึ้นมาสยายปีกในช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์อ่อนแอ แต่สร้างผลงานดียึดนายกอบจ.นครศรีธรรมราชรอบที่ผ่านมาได้ และต่อยอดการเลือกตั้งปี’66 ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เก้าอี้ สส.นครศรีธรรมราช 5-6 ที่นั่ง จึงสถาปนาเป็นบ้านใหญ่ และวันนี้ก็กุมอำนาจในพรรคประชาธิปัตย์
สมัยก่อนนายกอบจ.นครศรีธรรมราช คือ นามสกุลเสนพงศ์ ก่อนหน้าก็เป็นนามสกุลอื่น เช่น บุญยเกียรติ วิชัยกุล หากเอานักการเมืองระดับชาติเบอร์ต้นๆ ในพรรคประชาธิปัตย์ในอดีตก็มีหลายคน ดังนั้น การแพ้เลือกตั้งนายกอบจ.นครศรีธรรมราชรอบนี้ ไม่ได้แปลกอะไร
“ดูเหมือนจะเป็นหน้าใหม่ทางการเมือง นามสกุลไม่ใช่บ้านใหญ่แต่ดั้งเดิม แต่เบื้องหลังนอกจากภูมิใจไทย ซึ่งกำลังรุกคืบในพื้นที่ภาคใต้ทั้งในสนามระดับชาติและระดับท้องถิ่น แต่ยังมีบ้านใหญ่เก่าที่อกหัก ตระกูลเสนพงศ์มาหนุน ฐานการเมืองที่แยกจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปเป็นพรรคประชารัฐ ในการเลือกตั้งเมื่อปี’62 ไปเป็นรวมไทยสร้างชาติเมื่อปี 66 มาหนุน จึงเกิด 3 พลังมารวมที่เบอร์สอง”
“ดร.สติธร” กล่าวว่า ประกอบกับพรรคประชาชนไม่ส่งคนลงสมัครฯ ประชาชนหัวก้าวหน้าอยากเปลี่ยนนครศรีธรรมราช จากกลุ่มนักการเมืองเดิม เบอร์สองจึงเสนอตัวหาเสียงกับคนเมือง คนชั้นกลาง คนรุ่นใหม่จึงกลายเป็นพื้นที่รองรับเสียงของกลุ่มคนนี้ เป็นความได้เปรียบสองชั้น
“ยิ่งไปเทียบกับการเลือกตั้งนายกอบจ.นครศรีธรรมราชเมื่อปี’63 เป็นสองกลุ่มนี้ที่แข่งกัน เป็นการเอาคืน เบื้องหน้าดูเหมือนคนใหม่ แต่เบื้องหลังคือกลุ่มเดิมที่สู้กันในพื้นที่ เป็นการสู้กันระหว่างขั้วใหญ่ในจังหวัด”
2) แต่ในความเห็นผม ผลการเลือกตั้งนายก อบจ. นครศรีธรรมราชที่ออกมา ฟันธงได้เลยว่า เป็นการเลือก “วาริน ชิณวงศ์” เพื่อลงโทษ “ชัยชนะ เดชเดโช” ที่มีภาพไปยกมือไหว้ นอบน้อมนายทักษิณ ชินวัตร ชนิด “เหยียบใจคนนครฯ” ประกอบกับภาพความไม่น่ารักในช่วงการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่นายชัยชนะ แสดงออกกับผู้อาวุโสในพรรค การเป็นตัวตั้งตัวตีเพื่อนำพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย และการทำงานในสมัยที่ผ่านมาของนายก อบจ. กับพวก บวกรวมกันให้คะแนนไหลไปกองที่ “น้ำ วาริน ชิณวงศ์” ซึ่งผ่านการทำงานในฐานะประธานหอการค้าจังหวัดมาก่อน เป็นตัวเลือกที่ไม่ขี้เหร่
3) สำคัญที่สุดคือ ชัยชนะ เดชเดโช ก็มี “คนเขม่นทางการเมือง” อยู่ในพื้นที่ด้วย เมื่อแม่ของเขาลงชิงเก้าอี้นายก อบจ. หลังลาออกก่อนกำหนด ก็เป็นโอกาสให้เกิดการ
“สหบาทา” สั่งสอนให้หลาบ เราจึงได้เห็น “พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล”อดีต สส.ประชาธิปัตย์ ที่ย้ายไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ ออกโรงช่วย “วาริน” หาเสียงอย่างชัดเจน ไม่รวมค่ายพลังประชารัฐ และอื่นๆ ที่ก็ร่วมด้วยช่วยกันเพื่อล้ม “เดชเดโช”
4) หลังเกิดเหตุการณ์นี้ มีการจับตากันต่อที่ “จังหวัดสงขลา” เพราะ “เดชอิศม์ ขาวทอง” ก็ดำเนินบทบาททางการเมืองทั้งในพรรค ในระดับประเทศ และในท้องถิ่น ไม่ต่างจาก “ชัยชนะ เดชเดโช” หนักกว่าชัยชนะคือเดชอิศม์ให้สัมภาษณ์ฟาดฟัน “นายชวนหลีกภัย” แบบเปิดหน้า ซึ่งคนจำนวนหนึ่งเขาถือสา “นครศรีฯ โมเดล” จะเกิดขึ้นกับการเลือก นายก อบจ. สงขลาหรือไม่
5) ยิ่งดูความเคลื่อนไหวต่อไปนี้แล้ว ยิ่งน่าหวาดหวั่น กล่าวคือ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 17 พ.ย.2567 ที่ศูนย์ประสานงาน ทีมสงขลาพลังใหม่ ของนายสุพิศ พิทักษ์ธรรม ว่าที่ผู้สมัคร นายก อบจ.สงขลา นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายสุพิศ พิทักษ์ธรรม หัวหน้าทีมสงขลาพลังใหม่ และนายสมยศ พลายด้วง สส.เขต 3 สงขลา ร่วมกันแถลง ให้การสนับสนุน นายสุพิศ พิทักษ์ธรรม และส.อบจ. ทีมสงขลาพลังใหม่ ชิงนายกอบจ.สมัยหน้า
นายเดชอิศม์ กล่าวว่า วันนี้เราได้ข้อสรุปแล้วว่าจะให้นายไพเจน มากสุวรรณ์ หยุดรอบหน้าไม่ลงสมัครชิงเก้าอี้นายกอบจ.แน่นอน เนื่องจากที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์มีปัญหาความขัดแย้งและตกต่ำมากจึงไม่อยากให้เกิดปัญหาในการเลือกตั้งท้องถิ่นอีก แม้จะไม่ได้ลงในนามพรรค แต่สส.ประชาธิปัตย์ทุกคนก็สามารถช่วยกันได้ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ชาวสงขลาอย่างแท้จริง
“จริงๆ ผมและคุณสุพิศเรารู้จักกันมามากว่า 20 ปีแล้ว และตอนเลือกตั้งนายกอบจ.รอบที่ผ่านมาก็เป็นนายสุพิศที่แนะนำนายไพเจนให้ลงสมัครเป็นนายกอบจ.ครั้งที่ผ่านมา และส่งในนามพรรคประชาธิปัตย์มาแล้ว ครั้งนี้ได้หารือกันว่าเราจะเอาชาวสงขลาเป็นตัวตั้ง และเราต้องคุยให้รอบด้านก่อนตกผลึกกันทั้งผู้นำท้องถิ่นทุกที่ สุดท้ายก็ต้องคุยกับทั้งสองท่าน วันนี้จึงได้ข้อสรุปหมดแล้วว่าให้นายไพเจนหยุด และให้ทำการเมืองด้านอื่นต่อไป เพราะท่านยังมีความสามารถและมีพลังอยู่ จึงเป็นมติเอกฉันท์ให้สุพิศ พิทักษ์ธรรม ลงสมัครในนามสงขลาพลังใหม่ และก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้ออกมาเพราะอยากให้ตกผลึกจริงจะได้ไม่คลางแคลงใจกัน” นายเดชอิศม์ กล่าว
6) วันที่ 19 พ.ย.2567 ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่าจากกรณีที่นายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้ประกาศแล้วว่าจะไม่ให้นายไพเจน มากสุวรรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สงขลา ลงสมัครชิงเก้าอี้นายก อบจ.อีกสมัยแน่นอน เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหาในการเลือกตั้งท้องถิ่นอีกนั้น
รายงานข่าวแจ้งว่า นายไพเจน มากสุวรรณ์ ได้ยอมรับที่จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลาครั้งที่ 2 แม้ว่าจะได้จัดทีม “รวมพลังร่วมสร้างสุข” ที่มีว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) สงขลาร่วมทีมแล้ว 27 คน โดยนายไพเจน ให้เหตุผลว่าได้มีการเจรจากับนายเดชอิศม์ ภายใต้เงื่อนไข 3 ข้อ และเพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณผู้มีพระคุณทั้งสองคนคือนายเดชอิศม์ และนายสุพิศ พิทักษ์ธรรม ว่าที่ผู้สมัครนายก อบจ.สงขลา ซึ่งได้ชักชวนเข้าสู่วงการการเมือง รวมทั้งนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้การสนับสนุน
“จะได้จบกันไป ไม่ต้องมาทวงบุญคุณกันอีกต่อไป และแม้ว่าผมจะไม่ได้ลงสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลา แต่จะไม่ทิ้งพื้นที่ จะยังคงอยู่กับประชาชนต่อไป ยังคงหาช่องทางประสานช่วยเหลือประชาชนต่อไปโดยเฉพาะภาคการเกษตร”
ด้านนายอริย์ธัช ทองเพชร ประธานสภา อบจ.สงขลา แกนนำทีม “รวมพลังร่วมสร้างสุข” กล่าวว่า ลูกทีมทั้ง 27 คนจะต้องเดินลงสนามเลือกตั้งต่อไม่ว่าจะเกิดอะไรในอนาคตเพื่อรักษาศักดิ์ศรี ทั้งนี้ มีประชาชนจำนวนไม่น้อยเสียดายที่นายไพเจนจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.สงขลา
7) เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายไพเจน มากสุวรรณ์ นายก อบจ.สงขลา ส่งจดหมายเปิดผนึก ประกาศการตัดสินใจทางการเมืองของนายไพเจน มากสุวรณ์ ระบุข้อความว่า
พี่น้องชาวจังหวัดสงขลาที่เคารพรักทุกท่าน
ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสจากพี่น้องทุกท่านให้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาในช่วงเวลาที่ผ่านมา ตลอดเวลานี้ผมได้มุ่งมั่นทำงานเพื่อพัฒนาจังหวัดของเราให้เจริญก้าวหน้าและสร้างประโยชน์สุขให้แก่ประชาชนชาวสงขลาอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลาครั้งที่จะถึงนี้ ผมขอประกาศให้ทุกท่านทราบว่า ผมจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งในสมัยต่อไป
การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้มาจากการหมดไฟ หรือหมดแรงปรารถนา หรือหมดความสามารถที่จะทำงานให้กับจังหวัด แต่เกิดจากความตั้งใจที่อยากเห็นชาวสงขลาทุกคนรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ผมเชื่อว่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราจะเกิดขึ้นได้เมื่อพวกเราร่วมมือร่วมใจ ไม่แตกแยกหรือแข่งขันกันจนเกิดความขัดแย้งในสังคม เพราะชื่อทีมการเมืองท้องถิ่นของผม คือ “รวมพลังร่วมสร้างสุข” โดยคำว่า “รวม” หมายถึง“รวมชาวสงขลาเป็นหนึ่ง”
การเลือกตั้งบางครั้งอาจนำมาซึ่งการแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายซึ่งอาจบั่นทอนความสามัคดีในชุมชนของเรา ผมจึงขอเสียสละไม่ลงสมัครในครั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความแตกแยกและเพื่อเปิดโอกาสให้พี่น้องได้ร่วมมือกันพัฒนาจังหวัดอย่างเต็มที่ ผมเชื่อว่าการรวมพลังของชาวสงขลาทุกคนจะนำพาเราไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองและความสุขอย่างยั่งยืน
ถึงแม้ผมจะไม่ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอีกต่อไป แต่ผมยังคงมุ่งมั่นที่จะทำคุณประโยชน์ให้กับพี่น้องชาวสงขลาในฐานะประชาชนคนหนึ่ง
ของจังหวัด ผมพร้อมที่จะช่วยเหลือสนับสนุน และทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้จังหวัดสงขลาเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน ขอขอบคุณพี่น้องทุกท่านจากใจสำหรับการสนับสนุน ความไว้วางใจ และกำลังใจที่มอบให้ผมเสมอมา ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจังหวัดสงขลาจะก้าวต่อไปด้วยความสามัคคี และพวกเราทุกคนจะร่วมกันสร้างสรรค์ความสุขและความสงบสุขให้เกิดขึ้นในบ้านเกิดของเรา ขอขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้ง”
สรุป : ระบบ “สหบาทา” ของนักการเมืองและประชาชนที่รุมลงโทษ “ชัยชนะ เดชเดโช” จะรุมลงโทษ “เดชอิศม์ ขาวทอง” ที่สงขลาไหม ต้องติดตามกันต่อไป!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี