นั่งดูรัฐบาลทำงานมาเข้าปีที่สองแบบไม่มีอคติ จากรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน มาถึงรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ไม่มีอะไรจริงๆ มีแต่ถลุงเงิน แล้วก็ตัดตอนพูด โฆษณาชวนเชื่อผลงานของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยในอดีตของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร
นั่นก็ด้วยจุดประสงค์ เพื่อสร้างภาพฟอกขาวให้“นายใหญ่เจ้าของคอก”ดูดีมีราคา ไม่ใช่ผู้เคยต้องโทษคดีทุจริตประพฤติมิชอบขณะเป็นนายกรัฐมนตรี
เฉพาะนายเศรษฐา ทวีสิน คนเดียว ระหว่างเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงแค่ 1 ปี ได้ผลาญเงินแผ่นดินในการเดินสายเวิลด์ทัวร์เป็นเซลส์แมนเบอร์หนึ่งของประเทศ จากการเหมาเช่าเครื่องบินรวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในแต่ละครั้งไปประชุมเวทีระดับโลก พร้อมกับข้ออ้างว่าจะเชิญชวนนักลงทุนต่างชาติให้ขนเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งหมด 17 ครั้ง ประเมินตัวเลขกันออกมาแล้วหมดเงินไปไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท
ภาพที่เห็นซึ่งสวนทางกับเงินที่หมดไป คือ “เศรษฐา ทวีสิน”ป็นเซลส์แมนมีผ้าขาวม้าผูกคอ ตัวสูงโย่ง สวมถุงเท้าสีแดง เดินสร้างภาพโชว์บนถนนเหมือนเดินอยู่บนแคทวอล์ก-เป็นนายแบบขายผ้าขาวม้าและผ้าไทย ในกรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา, ในปารีส ฝรั่งเศส และในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เป็นต้น
ถึงวันนี้นายเศรษฐา ทวีสิน ตกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปแล้ว ก็ยังไม่เห็นเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยสักเม็ดเดียว มีแต่ขนเงินบินข้ามหัวไทยไปลงทุนในมาเลเซีย และอินโดนีเซีย
และที่เห็นชัดเจนอีกเรื่องหนึ่งในสมัยรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน ก็คือ เงินงบประมาณแผ่นดิน“5 พันล้านบาท” ตัวเลขกลมๆ จำนวน 5,164 ล้านบาท ที่อนุมัติให้“มาดามแพ”เมื่อครั้งที่ยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ นำไปถลุงเพื่อทำกิจกรรม“ดันซอฟต์พาวเวอร์ไทย” 11 ด้าน
จนบัดนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าผลสัมฤทธิ์คืออะไรจากกิจกรรมซอฟต์พาเวอร์ 11 ด้าน โดยที่เงินก้อนโตจำนวนนี้ถูก“มาดามแพ”ซึ่งเป็น“ลูกคุณหนูพ่อรวย”ละลายหายไปหมดสิ้นแล้ว คือ ด้านหนังสือ-69 ล้านบาท, ด้านภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ สารคดี แอนิเมชั่น-545 ล้านบาท, ด้านอาหาร-1 พันล้านบาท, ด้านออกแบบ-310 ล้านบาท, ด้านท่องเที่ยว-711 ล้านบาท, ด้านดนตรี-144 ล้านบาท, ด้านเกม-374 ล้านบาท, เฟสติวัล-1,009 ล้านบาท, ด้านศิลปะไทย-380 ล้านบาท, ด้านแฟชั่น-268 ล้านบาท และด้านกีฬา-500 ล้านบาท
พูดกันจริงๆ แล้ว เมื่อมาถึงรัฐบาลของ“มาดามแพ” ที่ตัวนายกรัฐมนตรีไร้สติปัญญา ด้อยประสบการณ์และขาดความรู้ความสามารถ แต่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา เข็นขึ้นมาเป็นผู้นำของประเทศเพื่อให้เป็น“ตัวตายตัวแทน”นั้น ก็ไม่เห็นมีอะไรใหม่อีกเช่นกัน
มีก็แต่ราคาคุย ซึ่งไม่เป็นไปตามที่“มาดามแพ”ที่ใช้สมองกลแทนสมองตนเอง จนได้รับฉายาว่า“นายกรัฐมนตรีไอแพด” ได้แถลงต่อสมาชิกรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ว่า จะขับเคลื่อนนโยบายที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง เพื่อแก้ปัญหาของประเทศให้สำเร็จ ในการพัฒนาเศรษฐกิจ, สังคม และการเมืองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
คำสวยหรูที่เป็นวรรคทองของ“มาดามแพ”จากการแถลงนโยบายต่อสมาชิกรัฐสภา มีอยู่ 3 ประการด้วยกัน คือ หนึ่ง “เพื่อสร้างโอกาส-ทำให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี”, สอง “เพื่อนำพาความภูมิใจกลับมาสู่คนไทย และประเทศไทย” และสาม “เพื่อสร้างความหวังและอนาคตที่ดีกว่าให้แก่ประเทศไทย จากวันนี้ไปถึงอนาคต”
จากวันที่“มาดามแพ”แถลงนโยบายด้วยวรรคทองสวยหรูดังกล่าว จะเห็นก็แต่ในประการที่สามที่ว่า “เพื่อสร้างความหวังและอนาคตที่ดีกว่าให้แก่ประเทศไทย จากวันนี้ไปถึงอนาคต” แต่ก็ต้องมีหมายเหตุเป็นคำถามอีกว่า อนาคตที่ดีกว่านั้นของประชาชน หรือว่าของใคร ?
โดยมีข้อสังเกตชวนให้ขบคิดว่า อนาคตที่ดีกว่าของประเทศไทยนั้น แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ของประชาชน แต่อาจจะเป็นของ“เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง” คือ“ทักษิณ ชินวัตร”เสียมากกว่า เพราะใครก็รู้ว่าการเป็นเจ้าของพรรคการเมืองเพื่อ“เลี้ยงดูลูกพรรค” จำเป็นต้องใช้เงินมหาศาล เพื่อที่จะชี้นิ้วบงการให้ทุกอย่างเป็นไปตามเจตจำนงของตน
เวลานี้ที่เห็น สส.พรรคเพื่อไทยและรัฐบาลของ“มาดามแพ”ง่วนอยู่ 3 เรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอำนาจและผลประโยชน์ทับซ้อน คือเรื่องการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อต้องการฉีก“รัฐธรรมนูญปราบโกงนักการเมืองชั่ว”ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันทิ้ง, เรื่องตั้งประธานบอดร์ดแบงก์ชาติ และเรื่อง“MOU 44”อันเกี่ยวเนื่องกับผลประโยชน์พลังงานขุมทรัพย์ใต้ทะเลที่เกาะกูด จังหวัดตราด มูลค่ากว่า“20 ล้านล้านบาท”
ทั้ง 3 เรื่องใหญ่ดังกล่าวนั้น จะพูดว่าเป็นเพราะทำด้วยความไม่สุจริตใจก็ไม่ผิดนัก จึงทำให้เวลานี้ต้องติดขัดไปหมด ยังมิอาจเดินหน้าต่อไปได้
เรื่องรัฐธรรมนูญก็ติดขัดเกี่ยวกับกฎหมายประชามติ, เรื่องประธานบอร์ดแบงก์ชาติก็ไม่กล้านำชื่อนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เพื่อให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ และเรื่อง“MOU 44”ที่เกี่ยวกับเกาะกูดก็ยังชะลอเรื่องการตั้งคณะกรรมการ“JTC”เพื่อดูทิศทางลมจากเสียงต่อต้านที่ดังกระหึ่มอยู่ในเวลานี้
ที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามแต่ ถ้าหากกระทำด้วยความสุจริตใจ ย่อมสำเร็จผลโดยราบรื่นทุกเรื่องทุกประการ ดังโคลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ว่า-“สุจริตคือเกราะบัง ศาสตร์พ้อง” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี