ยุคนี้ถือว่า“ทักษิณ ชินวัตร”ครองเมือง จะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะว่าพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำรัฐบาลใครก็รู้ว่าทักษิณเป็นเจ้าของพรรค ขณะที่“แพทองธาร ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี ซึ่งก็เป็นลูกสาวของตนเองที่สืบสันดานและดีเอ็นเอหรือ“สารพันธุกรรม” ที่ถึงอย่างไรลูกสาวก็ย่อมต้องเชื่อฟังบิดา
อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เองก็ไม่ปฏิเสธว่าเป็น“ผู้ครอบครองลูกสาว” ซึ่งถือว่าอยู่เหนือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่ห้ามบุคคลภายนอกครอบงำพรรคการเมือง เพราะการครอบครองเป็นกฎทางธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตในการถ่ายทอดพันธุกรรมจากรุ่นสู่รุ่น
ดังนั้นเวลานี้ สำหรับประเทศนี้ คนอย่าง“ทักษิณ ชินวัตร”ที่มีความอาฆาตแค้นเป็นเจ้าเรือนจะเอาอะไรก็ได้ ขนาดมีโทษจำคุกติดตัวก็ไม่ต้องติดคุก จนได้รับการพักโทษและพ้นโทษ ซึ่งทำให้คนไทยทั้งแผ่นดินเห็นมาแล้ว
“ทักษิณ ชินวัตร”ถูกทำรัฐประหาร ต้องระเห็จออกจากประเทศไทยไปหลบอยู่ในต่างประเทศกว่า 15 ปี มีคดีทุจริตติดตัว และถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษจำคุก มิหนำซ้ำยังถูกถอดยศ ถูกเรียกคืนเครื่องราชฯ จึงก่อให้เกิดแค้นฝังจำ ซึ่งจนวันนี้เจ้าตัวก็ยังคิดว่าถูกกลั่นแกล้งและเป็นผู้ถูกกระทำ
ครั้งหนึ่งในช่วงที่“ทักษิณ ชินวัตร”หลบหนีอยู่ในต่างประเทศ ถึงกับมีเสียงว่า “ตราบใดที่ทักษิณยังมีชีวิตอยู่ และเงินยังไม่หมด คนไทยก็อย่าหวังเป็นสุข” ซึ่งเป็นการถอดรหัสจากคำพูดข้ามประเทศของทักษิณ หลังจากถูกศาลอนุมัติหมายจับข้อหา“ผู้ก่อการร้าย”ในปี 2553 ที่ว่า “หากตนเองไม่ได้ในสิ่งต้องการ คนอื่นก็อย่าหวังอยู่เป็นสุข”
การชุมนุมของมวลชนคนเสื้อแดงในนาม“แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” หรือ นปช.ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปี 2553 ภายใต้วาทกรรม“ไพร่-อำมาตย์”ที่มีเป้าพุ่งไปยังสถาบัน จนเกิดเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง นั้น ก็มิอาจปฏิเสธได้ว่ามาจากแรง“อาฆาตแค้น”ของ“ทักษิณ ชินวัตร” ผู้อยู่เบื้องหลังที่ปลุกระดมคนเสื้อแดงด้วยการปราศรัยผ่านระบบวิดีโอลิงก์จากต่างประเทศเข้ามายังเวทีชุมนุมคนเสื้อแดงอย่างต่อเนื่อง
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ที่แม้ว่า“ทักษิณ ชินวัตร”หลังจากได้กลับเข้ามาในประเทศ จนพ้นโทษจากคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองโดยไม่ต้องติดคุกแล้วก็ตาม “ทักษิณ”ก็ไม่เคยหยุดนิ่ง และต้องได้ทุกอย่างที่ตนต้องการ
เช่นที่'สนธิ ลิ้มทองกุุล' พูดที่เวทีหอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนปลายเดือนที่ผ่านมา ในกิจกรรมเสวนา'ความจริง มีหนึ่งเดียว เพื่อชาติ ครั้งที่ 4' ว่า เมื่อทักษิณกลับมา “สิ่งแรกที่ทำ คือ เอาส้นตีนขยี้กฎหมายไทยทันที”
กรณีที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นนักโทษในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้รับการพักโทษตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมเมื่อวานนี้ โดยเหลือโทษจำคุกอีก 3 ปี 5 เดือน ที่จะต้องถูกคุมประพฤติอยู่ในบ้านพักที่จังหวัดเชียงใหม่ด้วยการติดกำไร EM นั้น ก็ย่อมพูดได้อีกเช่นกันว่า เพราะอำนาจดลบันดาลของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่ทำให้นายบุญทรงไม่ต้องถูกจองจำอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจบครบโทษ-ตามกำหนดวันพ้นโทษในวันที่ 21 เมษายน 2571
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ วัย 64 ปี เป็นคนเชียงใหม่และเป็นนักการเมืองในร่มธงของ“ตระกูลชินวัตร”ภายใต้สังกัด“เจ๊แดง”หรือนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของ“ทักษิณ ชินวัตร” เคยเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ ก่อนจะกระโดดลงมาเล่นการเมือง และได้รับการเลือกตั้งเป็น สส.เชียงใหม่ พรรคไทยรักไทย สมัยแรกในปี 2544 ซึ่งอยู่ในกลุ่ม“วังบัวบาน”ของนางเยาวภาที่เป็น“มุ้งใหญ่”มุ้งหนึ่งในพรรคไทยรักไทย
ในปี 2554 ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีครั้งแรกในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง โดยนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ 5 เดือน จากนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จนกระทั่งเกิดคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า “คดีทุจริตต่อหน้าที่ในการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ในโครงการรับจำนำข้าว” ที่ทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องตามชดใช้คืนพร้อมต้นและดอกเบี้ยให้แก่ ธ.ก.ส.ถึง 9.5 แสนบ้านบาท โดยที่คดีนี้ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดในปี 2558
ทั้งนี้ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ พร้อมกับนายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้ง“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่มีความผิดฐานปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริต และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของกระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนพ่อค้าข้าว รวมแล้วทั้งหมด 27 คนได้ถูกสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558
จนกระทั่งในปลายเดือนสิงหาคม ปี 2560 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งหมด โดยที่“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศไม่ยอมมาฟังคำพิพากษา ทำให้ศาลฯต้องพิพากษาลับหลังในเวลาต่อมา และสั่งจำคุก 5 ปี ไม่รอลงอาญา พร้อมออกหมายจับจนถึงทุกวันนี้ ส่วนบุญทรง เตริยาภิรมย์, นายภูมิ สาระผล และจำเลยที่มาฟังคำพิพากษาในวันนั้น คือวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ต้องเดินคอตกเข้าคุกทั้งหมด 26 คน โทษนายบุญทรงมีโทษจำคุกทั้งหมด 48 ปี และนายภูมิมีโทษจำคุก 36 ปี
ในปี 2564 สมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่ใครก็รู้ว่าเป็น“คน”ของทักษิณ ชินวัตร” เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มีส่วนทำให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ พร้อมนักโทษในคดีนี้ได้รับการลดโทษแบบกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์จนกลายเป็นข่าวกระฉ่อนเมือง คือเพียงแค่ปีเดียวได้รับการลดโทษถึง 2 ครั้ง เฉพาะนายบุญทรงจากที่ติดคุก 48 ปี ได้รับการลดวันต้องโทษครั้งแรกเหลือ 16 ปี และครั้งที่สองจาก 16 ปี เหลือ 10 ปี โดยระหว่างนี้หลังได้รับการพักโทษก็จะถูกคุมประพฤติอยู่ที่บ้านโดยไม่ต้องนอนคุก
ถามว่าทำไม“บุญทรง เตริยาภิรมย์” ได้รับการพักโทษเพียงคนเดียว คำตอบไม่ได้อยู่ในสายลม แต่เป็นเพราะ“ทักษิณ ชินวัตร”ต้องการกู้ฐานคะแนนเสียงในจังหวัดเชียงใหม่ที่ถูกพรรคประชาชนชิงไปกลับคืนมาก่อน ถือว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนเฉพาะหน้า ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 และทักษิณมีกำหนดการจะขึ้นไปช่วยหาเสียงให้“นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร”ที่จะลงชิงชัยในนามพรรคเพื่อไทยในวันที่ 23 ธันวาคมนี้
อย่างน้อย“ทักษิณ ชินวัตร”ก็ยังพออ้างกับคนเชียงใหม่ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ“คนเสื้อแดง”และเป็นบ้านเกิดของตนได้ว่า ไม่ได้ทิ้ง“บุญทรง เตริยาภิรมย์”คนเชียงใหม่ที่เป็นคนเมืองเหมือนกันให้ต้องรับกรรม แบบ“เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกไปแขวนคอ” ขณะที่“จีทูจี”หรือ“เจ๊ทูเจี๊ยะ”รับไปเนื้อๆ คุกก็ไม่ติด แต่ทาสบริวารต้องรับเวรรับกรรมติดคุกติดตะรางไปตามๆ กัน
สำหรับนักโทษคนอื่นๆ ในคดีเดียวกันกับ“บุญทรง เตริยาภิรมย์”ก็ปล่อยให้ร้องเพลงรอ รวมทั้ง“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ผู้เป็นน้องสาว-ก็จำต้องกลืนเลือดร้องเพลง“คัมมิ่งซูน”รออยู่ที่อังกฤษไปพลางก่อน!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี