พิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ 6 รอบ 72 พรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2567 ทั้งหมด 11 กองพัน ณ พระลานพระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 3 ธันวาคมวานนี้ ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ และเป็นความภาคภูมิใจของชาติไทย และคนไทย ซึ่งมีอยู่แล้วตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ที่สืบต่อๆ กันมาแต่โบราณกาลตราบจนถึงปัจจุบัน
อีกทั้งยังเป็นการย้ำเตือนถึงภารกิจสำคัญของทหารรักษาพระองค์ในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่เป็นสถาบันสำคัญ และเป็นหนึ่งในสามสถาบันหลักของชาติ
และที่สำคัญอย่างยิ่ง พิธีสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณตนของทหารรักษาพระองค์ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรัชกาลที่ 10 ถือได้ว่า เป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทยและคนไทย ที่ไม่ต้องรอให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย หรือนายกรัฐมนตรีที่ไร้สติปัญญาอย่าง“แพทองธาร ชินวัตร” ผู้ซึ่งไม่รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควร และไม่รู้ว่ากาลเทศะเป็นอย่างไร จะต้องมาบอกหรือแถลงเป็นนโยบายว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะ“นำพาความภูมิใจกลับมาสู่คนไทย และประเทศไทย”
”แพทองธาร ชินวัตร” นั้นเปรียบเหมือน“มะม่วงที่บ่มด้วยแก๊ส” ถูกอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาจับมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่ขาดความพร้อมในทุกด้าน ทั้งนี้ก็เพื่อที่ตนเองจะได้เชิดและชักใยบุตรสาวเหมือนเป็นผู้เล่นเองได้ ประกอบกับเพื่อให้เป็นเกียรติประวัติแก่บุตรสาวและวงศ์ตระกูลของตน ที่คนในตระกูลชินวัตรมีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ถึง 3 คน ส่วนจะดีจะชั่วอย่างไรไม่เกี่ยว เพียงแต่ขอให้ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยต่อไปในภายภาคหน้าเท่านั้น
ดังนั้นด้วยระยะเวลาเพียงแค่ 100 วัน ซึ่งถือว่าเร็วมาก คนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่ได้หูหนวกตาบอด ต่างก็ได้รู้ได้ยินได้เห็นว่า นายกรัฐมนตรีที่ชื่อ“แพทองธาร ชินวัตร”คนนี้ บริหารประเทศไม่ได้ นอกจากจะต้องมีบิดา และบริษัทบริวารของบิดาอย่างนายภูมิธรรม เวชยชัย คอยอุ้มและคอยกำกับอยู่ตลอดเวลาแล้ว ตัวของ“มาดามแพ”เองก็ไม่คิดจะพัฒนาตนเอง ยังทำแต่เรื่องที่ภาษาชาวบ้านบอกว่า“โง่ๆ เซ่อๆ”ซ้ำชากเป็นประจำ
ประการสำคัญก็เพราะ “แพทองธาร ชินวัตร”ไม่ทิ้งนิสัยคุณหนูที่ถูกพ่อแม่“สปอยล์”เลี้ยงดูอย่างตามใจ จึงเอาแต่ใจตนเองเป็นที่ตั้ง และดีแต่แต่งตัว ชนิดที่เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ซ้ำกันแม้แต่วันเดียว ส่วนแต่งออกมาแล้วจะดูดีหรือเหมาะสมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอันมีเกียรติหรือหรือไม่อย่างไรนั้น ในโลกโชเชียลเม้าท์กันเป็นเสียงเดียวว่า“เห่ย”แบบมีเงินเสียเปล่าแต่ไร้รสนิยม
อย่างเรื่องเอาแต่ใจตัวนั้น กรณีน้ำท่วมภาคใต้สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจน ว่าปากดีนัก ใครตำหนิติติงก็ไม่ได้ เลยโชว์ความด้อยปัญญาออกมาด้วยตรรกะวิบัติ แบบใครฟังแล้วก็รู้ว่าสติปัญญาและวุฒิภาวะของเธอ เมื่อจับขึ้นชั่งกิโลฯแล้วมีอยู่มากน้อยแค่ไหน ดังที่เธอพูดว่า “สามีคนใต้ ถ้าละเลยคนใต้ หรือไม่รักคนใต้ คงแต่งงานกับคนใต้ไม่ได้” และคำพูดนี้ก็ยังฉายภาพให้เห็นอีกว่า ในสมองที่มีสติปัญญาอยู่น้อยนิดของเธอนั้น เป็นวิธีคิดของเด็กน้อย ที่ไม่ประสีประสาอะไร เหมือนกับนกน้อยที่อยู่ในกรงทอง ตื่นเช้าขึ้นมาโลกรอบตัวก็มีอยู่แค่สามีกับลูก หรือคนในครอบครัวชินวัตรเท่านั้น
แต่อะไรก็ไม่เท่ากับเรื่องใหญ่ที่เป็นปัญหาความเมืองระหว่างประเทศ กรณีเรือรบประเทศเมียนมายิงเรือประมงไทยที่จังหวัดระนอง เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีลูกเรือเสียชีวิต บาดเจ็บ และถูกทหารเมียมาจับตัวไปนั้น การที่เมียนมากล้าดีถึงขั้นนี้ ก็เพราะเรามีผู้นำรัฐบาลที่ชื่อ“แพทองธาร ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด ประเทศไทยจึงถูกเมียนมา“ลองของ”เป็นการหยั่งเชิง
แล้วก็เป็นเช่นนั้นด้วย เมื่อนายกรัฐมนตรีไม่ใช่ตัวจริง การตัดสินใจสั่งการจึงมั่วไปหมด นายกรัฐมนตรีตัวจริง ซึ่งใครก็รู้ว่าคือ“ทักษิณ ชินวัตร”ก็ไม่กล้าออกหน้า ทั้งนายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็เล่นไปตามเกมตามบท กลายเป็น“ไก่รองบ่อน”ให้เมียมาหยามน้ำหน้า ต้องรอคำตัดสินและคำสั่งการจากรัฐบาลของเมียนมาที่เนปิดอว์แต่เพียงฝ่ายเดียวว่าจะเอาอย่างไร
ไม่ทราบว่า“แพทองธาร ชินวัตร”นายกรัฐมนตรีผู้มีสมองกลของไอแพดเป็นสติปัญญา จะเข้าใจหรือตระหนักรู้หรือไม่ว่า ประเทศไทยกำลังถูกประเทศเมียนมาเซาะกร่อนและบ่อนทำลาย “เกียรติและศักดิ์ศรี”ของประเทศไทยและคนไทย ซึ่งตรงกันข้ามจากที่ตนเองได้เจื้อยแจ้วเป็นนกขุนทองในการแถลงนโยบายต่อสมาชิกรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 กันยายนสามเดือนก่อนว่า รัฐบาลจะ“สร้างโอกาส ทำให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี”
เรื่อง“มีกิน มีใช้”นั้น เราก็อยู่กันมาได้แบบของเรา-ตามอัตภาพ ไม่ว่าจะรัฐบาลไหน แต่เรื่อง“เกียรติและศักดิ์ศรี”กรณีที่ประเทศไทยถูกเมียนมากระทำในครั้งนี้สำคัญยิ่ง เพราะกับรัฐบาลชุดก่อนๆ ประเทศเมียนมาไม่เคยปฏิบัติเยี่ยงนี้
ขืนปล่อยให้เขาเอา“เท้าลูบหัว”ได้ ประเทศชาติก็จะเดินไปสู่ความวิบัติฉิบหายในที่สุด ไม่ใช่ดังที่รัฐบาลแถลงไว้ในนโยบายว่า “จะสร้างความหวังและอนาคตที่ดีกว่าให้แก่ประเทศไทย จากวันนี้ไปถึงอนาคต”
บรรทัดนี้ก็คงต้องพูดว่า ความวัวเรื่อง“เกาะกูด”ที่ว่า จะขายชาติจากการขุดพลังงานขุมทรัพย์ใต้ทะเลขึ้นมาแบ่งกับเขมรกินกันคนละครึ่งนั้นยังไม่ทันหาย ก็ยังปล่อยให้ความกระบือเรื่อง“เมียนมา”เข้ามาแทรกอีก !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี