“อาชญากรรมย่อมทิ้งร่องรอยเสมอ” เป็นความจริงที่มีหนึ่งเดียว ผิดไปจากนี้ไม่มีอีกแล้ว
ยกประโยคดังกล่าวมาพูด เพราะคดี“ป่วยทิพย์-ชั้น 14”ของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร นั้น พิจารณาตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งชี้ว่าคดีนี้พบว่ามีข้อเท็จจริงและมีพยานหลักฐานเพียงพอ โดยมีข้าราชการกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่แพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลตำรวจ เอื้อประโยชน์ให้“ทักษิณ ชินวัตร”ไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำจนกระทั่งครบ 180 วัน ทั้งที่ไม่ได้เจ็บป่วยจริง
เมื่อคณะะกรรมการ ป.ป.ช.พบว่า “มีข้อเท็จจริงและมีพยานหลักฐานเพียงพอ” จึงรับเรื่องไว้ไต่สวน โดยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งคณะเป็นองค์คณะไต่สวนผู้อยู่ในข่ายความผิด ซึ่งในเบื้องต้นนี้มีทั้งหมด 12 คน และถ้าพบว่า “มีบุคคลอื่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ก็ให้ดำเนินการไต่สวนกับบุคคลดังกล่าวต่อไปด้วย”
การดำเนินการของ ป.ป.ช.คงไม่จบในวันนี้พรุ่งนี้ อย่างเร็วก็อาจจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือนหรือ 1 ปี ซึ่งหมายถึงต้องทุ่มเทกันจริงๆ และต้องตั้งอยู่บนความสุจริตยุติธรรมเป็นประการสำคัญ
แต่ที่เป็นนิมิตหมายที่ดี ก็คือ การออกโรงของ“แพทยสภา” ในการเดินหน้ากระบวนการสอบสวนจริยธรรมแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ กรณีรับตัว“ทักษิณ ชินวัตร”ที่ถูกส่งตัวจากทัณฑสถานโรงพพยาบาลราชทัณฑ์ มารักษายังโรงพยาบาลตำรวจ ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2566 จนถึงวันที่ได้รับการพักโทษในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567
เพราะถ้าผลการสอบสวนจริยธรรมแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ โดย“แพทยสภา” ปรากฏออกมาว่า อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร “ป่วยทิพย์”ไม่ได้ป่วยวิกฤตปางตาย เช่นที่กรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ กล่าวอ้างมาตั้งแต่ต้น ผลสอบสวนนี้ก็จะถูกนำไปใช้เป็นหลักฐานประกอบการทำสวนคดีของ ป.ป.ช.ได้อย่างแน่นหนา อีกทางหนึ่ง
ที่สำคัญที่สุด ก็คือ “ขบวนการโกหกอย่างเกรียงไกร”ที่มีอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณชินวัตร เป็นผู้เขียนบทและเป็นผู้อำนวยการสร้างนี้ “แพทยสภา”จะเป็นผู้ไขความจริงให้กระจ่างออกมา เนื่องจากหนังสือที่คณะอนุกรรมการสอบสวนชุดเฉพาะกิจของ“แพทยสภา” ส่งไปให้นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจชี้แจง 8 ข้อนั้น “มัดแน่น”ทุกประเด็น-นั่นก็คือ
1.คำชี้แจงเกี่ยวกับรายละเอียดการเข้ารับการรักษาพยาบาลของนายทักษิณ ชินวัตร ทั้งหมดโดยละเอียด, 2.ขอทราบ ชื่อ-สกุล แพทย์ทั้งหมดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้การดูแลรักษานายทักษิณ ชินวัตร โดยให้แจ้ง ชื่อ-นามสกุล และ เลขใบประกอบวิชาชีพ, 3.คำชี้แจงจากบุคคลในข้อ 2 เกี่ยวกับกระบวนการตรวจ การวินิจฉัย การดูแลรักษานายทักษิณ ชินวัตร โดยละเอียด
4.นายทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ต้องขังที่ส่งตัวไปรักษาตัวนอกเรือนจำ นานเกินกว่า 30 วัน ตามที่กำหนดในข้อ 7 ของกฎกระทรวง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 ซึ่งมีการกำหนดให้ผู้บัญชาการเรือนจำดำเนินการ ทำหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมทราบ ดังนั้น จึงขอความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องดังกล่าว
5.นายทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ต้องขังที่ส่งตัวไปรักษาตัวนอกเรือนจำนานเกินกว่า 60 วัน ตามที่กำหนดในข้อ 7 ของกฎกระทรวง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอก เรือนจำ พ.ศ.2563 ซึ่งมีการกำหนดให้ผู้บัญชาการเรือนจำดำเนินการ ทำหนังสือขอความเห็นชอบ จากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมทราบ ดังนั้น จึงขอความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องดังกล่าว
6.นายทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ต้องขังที่ส่งตัวไปรักษาตัวนอกเรือนจำนานเกินกว่า 120 วัน ตามที่กำหนดในข้อ 7 ของกฎกระทรวง การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563 ซึ่งมีการกำหนดให้ผู้บัญชาการเรือนจำดำเนินการ ทำหนังสือขอขอความเห็นชอบจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมทราบ ดังนั้นจึงขอความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษาและหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องดังกล่าว
7.สำเนาใบส่งตัวเพื่อเข้ารับการรักษาต่อ, สำเนาเวชระเบียน, สำเนาบันทึกการผ่าตัด, สำเนาบันทึกการให้ยาระงับความรู้สึก, สำเนาบันทึกการพยาบาล, สำเนารายงานทางการแพทย์ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาพถ่ายทางรังสีวินิจฉัย ผลการตรวจทางรังสี และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือเอกสารอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร โดยให้ระบุหมายเลขหน้าเอกสารดังกล่าว และให้เจ้าหน้าที่ลงนามรับรองสำเนาเอกสารทุกหน้าด้วย ทั้งนี้ ขอตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2566 ที่ผู้ป่วยถูกส่งต่อการรักษาไปรักษาใน รพ.ตำรวจ จนกระทั่งผู้ป่วยถูกจำหน่ายออกจาก รพ.ตำรวจ ซึ่งถือว่าเกี่ยวข้องกับการพิจารณาจริยธรรมในครั้งนี้
และ 8.ข้อเท็จจริงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ในการพิจารณา
ทั้งนี้ คำชี้แจงทั้ง 8 ข้อดังกล่าวนั้น จะต้องทำคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมพยานหลักฐานที่สนับสนุนคำชี้แจงทุกประเด็น โดยให้ส่งคำชี้แจงพร้อมพยานหลักฐานดังกล่าวไปยังคณะอนุกรรมการสอบสวน ชุดเฉพาะกิจ ณ สำนักงานเลขาธิการแพทยสภา ภายในวันที่ 15 มกราคม 2568
เมื่อดูจาก 8 ข้อที่ผู้เกี่ยวข้องของโรงพยาบาลตำรวจจะต้องตอบชี้แจงแล้ว ถ้า“ทักษิณ ชินวัตร”ป่วยจริง บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลตำรวจไม่ได้“ทุจริตประพฤติมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่”อย่างเป็นขบวนการ ก็ไม่มีอะไรน่าวิตก
แต่ถ้าเป็นการ“โกหกอย่างเกรียงไกร” พูดได้คำเดียวว่า“ดิ้นไม่หลุด”แน่ เพราะจะต้องมีการสร้างเอกสารเท็จขึ้นมากันใหม่อีก ตั้งแต่วันแรกที่“ทักษิณ ชินวัตร”เข้าโรงพยาบาลตำรวจ จนกระทั่งได้รับการพักโทษ คือโกหกแล้วก็ต้องโกหกต่อ และต้องโกหกให้ตรงกันทุกคนด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็นทีเดียว
อย่างที่กล่าวไว้แต่ต้นว่า“อาชญากรรมย่อมทิ้งร่องรอย” และยังอาจจะทำให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต้องพลอยเกิดอาการหนาวๆ ร้อนๆ ไปด้วย ฐานที่ลงนามเห็นชอบให้“ทักษิณ ชินวัตร”นอนนอกเรือนจำต่อหลังจากครบ 120 วัน และนอกเหนือจากนั้นในช่วงที่“ทักษิณ ชินวัตร”พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ เวลาที่ผู้สื่อข่าวถามเรื่องทักษิณ ก็ปรากฏว่าพ.ต.อ.ทวีมักจะทำตากะหลับกะเหลือกแล้วตอบว่า ทุกอย่างถูกต้องเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย และเป็นไปตามกฎระเบียบข้อบังคับ
ดังนั้น ใครก็ตามที่ร่วมมือกับคนชั่วทุจริตประพฤติมิชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ ก็ขอให้ผลแห่งการกระทำนั้นเป็นไปตามกรรม ดังพุทธพจน์ที่ว่า “กมฺมุนา วตฺตติ โลโก” แปลความว่า “สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี