พรรคร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยบริหารประเทศมาประมาณ 1 ปี 4 เดือน ทำให้มีคำถามว่า การทำงานของรัฐบาลชุดนี้ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยดีขึ้นหรือเลวลง ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดีขึ้นหรือเสื่อมทรามลง ทำให้การยอมรับนับถือของนานาชาติต่อไปดีขึ้นกว่าเดิมหรือลดลงไปกว่าเดิม
มีคำตอบหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ตอบได้เหมือนกันคือ เศรษฐกิจไทยโดยรวมเลวร้ายเสื่อมทรุดลง ค้าขายไม่ดี คนตกงานเพิ่มมากขึ้น หาเงินได้ลำบากยากเย็นกว่าเดิม มีหนี้มีสินมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีคำถามแย้งว่า คิดไปเองหรือเปล่าว่าเศรษฐกิจไทยไม่ดี เพราะก็ยังคงเห็นรถราติดอย่างหนักบนถนนสายต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ และยังคงเห็นว่ามีการเปิดตัวห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่ในกรุงเทพฯ และยังคงเห็นอีกว่าตามร้านอาหาร จำพวกร้านเด็ดร้านดังยังมีคนมากมายหลั่งไหลเข้าไปซื้อหาตลอดเวลา
ไม่มีใครเถียงว่าร้านดังบางร้านยังมีคนเข้าไปจนแน่น แต่ต้องบอกว่าไม่ใช่ทุกร้านจะมีคนเข้าไปจนแน่นเหมือนกันทั้งหมด เพราะร้านดังหลายสิบร้านก็ต้องปิดกิจการไปแล้ว เพราะไม่สามารถแบกหนี้ต่อไปได้ หรือหากไม่ปิด ก็ต้องลดพื้นที่ร้านลง เนื่องจากลูกค้าหดหายไปมาก และจะเห็นว่าร้านอาหารจำนวนมากต่างใช้กลยุทธ์การตลาดดึงดูดลูกค้าด้วยการลดราคาสินค้า ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง มาสองจ่ายหนึ่ง มาสี่จ่ายสอง และอีกสารพัดกลยุทธ์การตลาดที่ต่างก็งัดออกมาดึงลูกค้าให้เข้าร้าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากิจการของร้านจะดีขึ้น
พ่อค้าแม่ขาย นักธุรกิจต่างบ่นตรงกันว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยแย่มาก แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะแย่หนักกว่านี้อีก แม้จะมีสำนักเศรษฐกิจบางแห่งบอกว่าปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะดีกว่าปีนี้เล็กน้อยก็ตาม แต่ที่นักธุรกิจทุกคนเป็นห่วงมากคือ เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนมกราคม 2568 จะเกิดความผันผวนอย่างไรกับเศรษฐกิจโลกบ้าง
แต่หากถามเรื่องสภาพเศรษฐกิจไทยกับนายกรัฐมนตรีไทยคนล่าสุด จะได้ยินคำตอบว่า เศรษฐกิจไทยจะดีเมื่อทรัมป์เข้ารับตำแหน่งผู้นำอเมริกาย้ำว่านายกฯ ไทยบอกว่าเศรษฐกิจไทยจะดีเมื่อทรัมป์เป็นประธานาธิบดี แต่ในขณะที่นักธุรกิจจำนวนมากบอกว่าเศรษฐกิจไทยจะเลวร้ายกว่าเดิมเมื่อทรัมป์เป็นประธานาธิบดี ทำให้เกิดคำถามว่า ทำไมนายกฯ ไทยจึงบอกว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น เมื่อทรัมป์รับตำแหน่งประธานาธิบดี
นายกฯ ไทยบอกว่าปีหน้า (2568) จะมี “นโยบายกินได้” ออกมา แต่ทว่านายกฯ ไม่ได้ขยายความว่านโยบายกินได้คืออะไร ที่บอกว่ากินได้นั้น ใครได้กิน แล้วใครถูกกิน ประชาชนส่วนใหญ่จะได้กิน หรือว่ารัฐบาล นักการเมืองจะได้ (โกง) กิน
ขอย้ำว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าไม่น่าจะเติบโตได้มากอย่างที่รัฐบาลพยายามโฆษณาชวนเชื่อตลอดเวลา ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2567 เติบโตที่ระดับ 2.5 เปอร์เซ็นต์ และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะอยู่ที่ 2.8 เปอร์เซ็นต์ โดยปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยคือ รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยภาครัฐที่เน้นให้เกิดการบริโภคมากขึ้นในส่วนของภาคเอกชน โดยผ่านมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศไทยโดยคนไทยด้วยกันเอง
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือภาคเอกชนลดการลงทุนลงอย่างมาก โดยลดการลงทุนมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ของปี 2567 โดยเฉพาะในหมวดการลงทุนด้านที่อยู่อาศัยและธุรกิจด้านยานพาหนะ เพราะความต้องการ (อุปสงค์) ในตลาดบ้านที่อยู่อาศัยและรถยนต์ลดลงอย่างมาก ในขณะที่ยังมีปัญหาหนี้สินค้างชำระในระดับสูง ประกอบกับธนาคารปฏิเสธการอนุมัติสินเชื่อในอัตราสูงเช่นกัน ส่วนภาคการผลิตและการส่งออกก็ยังฟื้นตัวได้ช้ามาก ส่วนการบริโภคสินค้าคงทน และอัตราการลงทุนในระยะสั้นก็ลดน้อยลง สรุปว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตในอัตราต่ำ ประกอบกับยังมีความเสี่ยงในด้านการเมืองอีกด้วย
พูดแบบสั้นๆ เข้าใจง่ายๆ คือ รัฐบาลยังน่าจะมีปัญหาเสถียรภาพ และดูไม่น่าจะมั่นคง ในขณะที่รัฐบาลไม่มีความสามารถในการหาเงินเข้าประเทศ ไม่มีความสามารถในการสร้างงาน สร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ตลาดโลกต้องการ ส่วนเศรษฐกิจโลกก็ยังน่าเป็นห่วง เพราะอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกก็ไม่สดใส ทั้งหมดทั้งมวลจึงทำให้เกิดความวิตกว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ยังคงไม่น่าจะขึ้นพ้นปากเหว แล้วยิ่งมีนายกรัฐมนตรีที่ไร้ประสิทธิภาพ ก็ยิ่งทำให้เสี่ยงจะเผชิญกับความเลวร้ายที่สุดแสนน่าวิตก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี