เมื่อดูพาดหัวข่าวเศรษฐกิจจากสื่อมวลชนทุกสำนักจะพบว่าระบุตรงกันคือ เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ไม่ดีบางสำนักข่าวพาดหัวข่าวว่าเศรษฐกิจจะเลวร้าย เศรษฐกิจซบเซา คนไทยขาดกำลังซื้อ คนตกงานมากมาย โรงงานและร้านค้าจำนวนมากปิดตัวแล้วเลิกกิจการ เศรษฐกิจไทยอาการหนัก เศรษฐกิจไทยกำลังถดถอย คนไทยต้องรัดเข็มขัด หนี้เสียทะลักล้น ธนาคารไม่ปล่อยกู้ บ้านและคอนโดฯ ขายไม่ได้ เหลือบานเบอะล้นตลาด ฯลฯ
แต่สงสัยหรือไม่ว่าทำไม ทักษิณ ชินวัตร และแพทองธาร ชินวัตร รวมถึงรัฐมนตรีบางคนจากพรรคเพื่อไทยยังคงพยายามบอกว่าปีหน้า (2568) เศรษฐกิจไทยจะดี จะเติบโตมากกว่าเดิม
ถามต่อไปว่า ระหว่างคำพูดของทักษิณกับแพทองธาร รวมถึงลิ่วล้อบริวารในพรรคเพื่อไทย กับการวิเคราะห์เชิงเศรษฐกิจโดยธนาคารต่างๆ และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจทุกแห่งของไทย คุณผู้อ่านเชื่อคำพูดของใครมากกว่ากัน
SCB EIC (SCB Economic Intelligence Center) ระบุว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโตที่ระดับ 2.8 เปอร์เซ็นต์ โดยเติบโตต่ำกว่าศักยภาพ แต่จะเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างคนรวยกับคนจนมากยิ่งขึ้น คนรวยจะรวยขึ้น คนจนจะจนลง
ไม่เพียงแค่สำนัก SCB EIC เท่านั้นที่พยากรณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่เติบโต แต่กล่าวได้ว่าทุกสำนักที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจไทยต่างก็มองไปในทิศทางเดียวกันคือ เศรษฐกิจไทยไม่เติบโต แต่อาจจะซบเซามากกว่าปี 2567
โดยนักเศรษฐศาสตร์ และนักการเงินการธนาคาร รวมถึงบรรดาพ่อค้านักธุรกิจระดับประเทศต่างก็มองเศรษฐกิจไทยด้วยความเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง โดยทุกสำนักฯ มองไปในทิศทางที่ว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงขาลง และไม่ใช่ลงธรรมดา แต่อาจจะลงเหวก็ว่าได้ เพราะไม่มีปัจจัยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตเลยแม้แต่น้อย แถมกำลังซื้อในประเทศก็ลดลง การบริโภคภาคเอกชนก็จะชะลอตัวลง
มีการคาดการณ์โดยอาศัยตัวแปรทางเศรษฐกิจแล้ววิเคราะห์ได้ว่าเศรษฐกิจและธุรกิจไทย ในช่วงปี 2568 ไม่ดีและน่าจะไม่ดีเอาอย่างมากเสียด้วย ขอย้ำว่าทุกสำนักฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงขาลง
มีการระบุด้วยว่าตัวเลขการบริโภคภาคเอกชนในปี 2568 จะเติบโตแบบชะลอลงที่ 2.1 เปอร์เซ็นต์ จากระดับ 5 เปอร์เซ็นต์ในปี 2567 ส่วนตัวเลขการส่งออกจะเติบโตเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ จากอัตรา 3.9 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2567 อันเนื่องมาจากปมปัญหาสินค้าจีนที่ล้นทะลักเข้ามาตีตลาดไทย ประกอบกับปัญหาหนี้ครัวเรือนของคนไทยอยู่ในระดับสูงมาก ดังจะพบว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยมีหนี้สูงเป็นประวัติการณ์
ผลการสำรวจระบุว่าคนไทยมีภาระหนี้สินครัวเรือนในปี 2567 สูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีหนี้เฉลี่ยกว่า 6 แสนบาทต่อครัวเรือน สาเหตุสำคัญเกิดมาจากรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย และมีเหตุฉุกเฉินที่ทำให้ต้องใช้เงินโดยด่วน เมื่อไม่มีเงินเก็บ ก็ต้องกู้หนี้ยืมสิน อันเป็นสาเหตุให้มีหนี้สูงมาก นอกจากนี้ยังมีปัญหาค่าครองชีพ ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันปรับสูงขึ้นทุกวัน ค่าอาหาร ค่าไฟฟ้า ค่าใช้จ่ายทุกชนิดต่างปรับขึ้นตลอดเวลา ทำให้คนไทยจำนวนมากต้องเป็นหนี้ และที่น่าเป็นห่วงมากคือคนไทยประมาณ 72 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบแบบสอบถามเรื่องการเป็นหนี้ ตอบว่ากลุ่มของตนเป็นผู้ผิดชำระการใช้หนี้ในระยะเวลาช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (อ้างอิงงานวิจัยของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัหอการค้าไทย) และจากงานวิจัยเดียวกันยังระบุอีกว่าสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทย ปี 2567มีครัวเรือนไทยมีภาระหนี้สินเฉลี่ย 606,378 บาทต่อครัวเรือน นับเป็นมูลหนี้ระดับสูงที่สุดตั้งแต่เริ่มสำรวจในปี 2552 แต่ที่น่าวิตกคือคนไทยมีหนี้สินมากขึ้น
ส่วนข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ที่สำรวจจากประชากรไทยทั่วประเทศ ช่วง 1-7 กันยายน 2567 จำนวนตัวอย่าง 1,300 ตัวอย่าง พบว่าหนี้ครัวเรือนของคนไทยต่อ GDP ในช่วงไตรมาสแรกปี 2567 อยู่ที่ระดับ 90.8 เปอร์เซ็นต์
ขอย้ำตรงนี้ว่าคนไทยเป็นหนี้สูงมาก ในขณะที่ผู้มีเงินออมในประเทศไทยมีอัตราต่ำมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้น่าวิตกว่าจะมีโอกาสเกิดวิกฤตเศรษฐกิจได้โดยไม่ยาก เพราะสังคมใดก็ตามที่ประชากรส่วนมากมีหนี้สินจำนวนมหาศาล ก็หมายถึงความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจของสังคมโดยรวม
ถามว่าทุกวันนี้ไทยมีรายได้เข้าประเทศจากทางใดบ้าง ก็ตอบว่า มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติและจากการส่งสินค้าออก
แม้ว่าการท่องเที่ยวยังเป็นตัวจักรกลสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยยังหมุนต่อไปได้ แต่ก็จะพบว่านักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยก็จะไม่มากไปกว่าเดิม คือตั้งเป้าหมายไว้ที่ 40 ล้านคน แต่ก็คาดว่าจะมีตัวเลขเพียง 38 ล้านคนเท่านั้น แล้วก็ต้องไม่ลืมว่าแม้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้น แต่อัตราค่าใช้จ่ายต่อหัวต่อวันก็ลดลง
ส่วนรายได้จากการส่งออกสินค้าไทยที่ยังช่วยให้เศรษฐกิจไทยพอจะหมุนได้บ้าง ก็น่าจะเผชิญแรงกดดันหนักขึ้นเมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนมกราคม 2568 ดังมีความวิตกว่าทรัมป์จะเก็บภาษีสินค้าเข้าจากประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ หนักและมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งไทยก็ไม่หลุดพ้นจากปัญหานี้เช่นกัน
คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบหนักจากมาตรการกีดกันการค้าโดยประธานาธิบดีทรัมป์ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2568 เป็นต้นไป อย่าลืมว่าไทยต้องเผชิญความเสี่ยงสูงมาก กับการถูกขึ้นภาษีนำเข้าโดยสหรัฐฯ
ขอบอกว่าสินค้าไทยมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะตกเป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ ตั้งเป้าเก็บภาษีเพิ่ม เพื่อลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ และขณะเดียวกันทางการสหรัฐฯ ก็ต้องเพิ่มการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศให้มากขึ้นเพื่อทดแทนการนำสินค้าเข้า โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องจักร และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
จึงคาดการณ์ว่าปี 2568 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวชะลอลงอยู่ที่ 2.4 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต่ำกว่าระดับศักยภาพ 2.7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในทางเศรษฐศาสตร์นับได้ว่าเศรษฐกิจจะติดลบ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำลงไปอีก
นอกจากนี้ยังต้องไม่ลืมฉากทัศน์ของสถานการณ์โลกที่อาจจะร้ายแรงสุดๆ อันเกิดมาจากข้อขัดแย้งในเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ ที่อาจจะทวีความรุนแรงมากกว่าเดิมเพราะสงครามในตะวันออกกลาง กับสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนก็ยังหาความแน่นอนไม่ได้ แล้วก็ยังมีปัญหาในทะเลจีนใต้ และปัญหาความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวัน
แต่ที่ต้องไม่ลืมอีกกรณีคือ เรื่องปัญหาสินค้าจีนที่จะล้นทะลักเข้ามาในไทย ประกอบกับเศรษฐกิจจีนก็ไม่สดใสเหมือนเดิม เมื่อจีนมีปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาก็จะกระทบถึงไทยโดยไม่ต้องสงสัย และยากจะหลีกเลี่ยงได้
ในขณะที่ธนาคารก็ยังไม่น่าจะปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ขอกู้ที่ไม่มีความมั่นคงทางด้านการเงิน หรือไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเพียงพอ ในเมื่อสภาวะการเงินตึงตัวมาก ๆ ธนาคารก็จำเป็นต้องระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้ขอกู้ที่ไม่มีความสามารถชำระหนี้ได้อย่างคงเส้นคงวา ดังนั้น จึงคาดว่าปี 2568 การเติบโตของสินเชื่อจะมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตต่ำกว่า 2 เปอร์เซ็นต์
แต่น่ามหัศจรรย์ใจที่ทั้งทักษิณและแพทองธาร รวมถึงรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยยังคงเพ้อฝัน ฝันหวานว่าเศรษฐกิจไทยจะดีขึ้น จะเติบโตมากขึ้น โดยทักษิณอ้างว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 4-5 เปอร์เซ็นต์ ถามว่าทักษิณใช้ฐานคิดจากอะไร ใช้อะไรเป็นสมมุติฐานเพื่ออ้างว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต 4-5 เปอร์เซ็นต์
การสร้างวิมานในอากาศคือการหลอกตัวเอง แล้วก็จงใจหลอกคนที่คิดไม่เป็น คิดไม่ทัน ไม่ทันคิด และไม่ชอบคิดในสังคมไทยไปพร้อมๆ กัน
คำถามคือทำไมทักษิณกับแพทองธารต้องหลอกตัวเองตลอดเวลา แล้วขอถามปิดท้ายว่า คิดหรือว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยจะหลงเชื่อกับคำลวงของทักษิณกับแพทองธาร หรือทั้งสองคนอาจถือคติว่า หลอกคนอื่นไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ขอหลอกตัวเองไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี