ที่ผ่านมา มีหลายคดีดัง ที่สังคมติดใจสงสัยบทบาทการทำหน้าที่ของอัยการ...
จนถึงวันนี้ ยังไม่มีถ้อยแถลงคำชี้แจงให้ความกระจ่าง ว่าทำไมบางคดีจึงสั่งไม่ฟ้อง หรือบางคดีจึงไม่อุทธรณ์สู้ต่อ หรือไม่ฎีกาต่อ มีผลทำให้คดีจบลงไปโดยที่ฝ่ายจำเลยได้ประโยชน์ ?
ไม่ว่าจะ คดีฟอกเงินกรุงไทยของลูกชายอดีตลูกนายกฯ
คดีเลี่ยงภาษีของภริยาอดีตนายกฯ
คดีบอส (แต่สั่งฟ้องในภายหลังถูกตรวจสอบ)
คดีที่ดินป่าราชบุรีของตระกูลนักการเมืองสีส้ม
คดีอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์บางคดี คดีข้าวบูล็อก ฯลฯ
คดีเหล่านี้ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าอัยการทุจริตประพฤติมิชอบ แต่ยังมีข้อกังขาในสังคมต่อไป เพราะยังไม่มีคำอธิบายชี้แจงในรายละเอียดอย่างเป็นทางการ
ล่าสุด ปรากฏกรณีศึกษา คดีที่ปรากฏว่าอัยการทุจริตประพฤติมิชอบ เรียกรับสินบน เพื่อสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา
กระทั่งอัยการทุจริตผู้นั้น ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก
1. คดีนี้ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด นายปริญ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอัยการจังหวัด ประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลก
กรณีเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อให้มีการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในสำนวนคดีอาญา
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวน พบว่า ระหว่างวันที่ 14 - 29 พฤศจิกายน 2561 นายปริญ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลก ได้นัดพบและติดต่อกับกลุ่มผู้ต้องหาในสำนวนคดีอาญา ส.1 เลขรับที่ 1854/2561 ของสำนักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งถูกดำเนินคดี ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
โดยที่นายปริญ มิได้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับสำนวนคดีดังกล่าว และได้แจ้งกับกลุ่มผู้ต้องหาในทำนองว่าจะหาวิธีช่วยเหลือเพื่อสั่งไม่ฟ้องคดี
แต่ต้องจ่ายค่าดูแลผู้ใหญ่ประมาณหลักแสนบาทเป็นการตอบแทน
การกระทำของนายปริญ จึงเป็นการเรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากกลุ่มผู้ต้องหาเพื่อเป็นการตอบแทน ในการที่จะจูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการผู้มีอำนาจหน้าที่ในการสั่งคดี โดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย เพื่อให้กระทำการในหน้าที่อันเป็นคุณแก่กลุ่มผู้ต้องหาด้วยการสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าว
2. สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานข้อมูลรายละเอียด โดยสรุปว่า
ในคำพิพากษาของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 ปรากฏรายละเอียดพฤติการณ์การกระทำความผิด ของนายปริญ และคำวินิจฉัยของศาลฯ มีรายละเอียดน่าสนใจ ดังต่อไปนี้
“...อัยการสูงสุด โดยพนักงานอัยการสํานักงานอัยการพิเศษฝ่าย คดีปราบปรามการทุจริต 2 ภาค 6 ในฐานะโจทก์ฟ้องว่า
...ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2561 พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรนครชุมได้ส่งสํานวนการสอบสวนคดีอาญาที่ 14/2561 พร้อมตัวนาย ธ. ผู้ต้องหาที่ 1 และนาย ว. ผู้ต้องหาที่ 2 ไปยังสํานักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลก
โดยพันตํารวจโท ช. พนักงานสอบสวนสถานีตํารวจภูธรนครชุม ผู้รับผิดชอบสํานวนคดีอาญาดังกล่าว มีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันทําร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และสํานักงานอัยการ จังหวัดพิษณุโลกได้รับไว้เป็นสํานวนคดีอาญา ส.1 เลขรับที่ 1854/2561 แล้วมอบหมายให้นาย ส. รองอัยการจังหวัดพิษณุโลก เป็นอัยการเจ้าของสํานวน
ต่อมาผู้ต้องหาที่ 1 ได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการ ซึ่งตามระเบียบสํานักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดําเนิน คดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. 2563 ข้อ 65 วรรคสี่ กําหนดว่า“คดีที่มีการร้องของความเป็นธรรม ในกรณีที่จะมีคําสั่งไม่ฟ้องทุกข้อหาหรือบางข้อหา ให้ทําความเห็นในสํานวนแล้วเสนอตามลําดับขั้นถึงอธิบดีอัยการเพื่อพิจารณาสั่งทั้งคดี เมื่ออธิบดีอัยการมีคําสั่งประการใดให้ปฏิบัติ ตามนั้น” ทําให้อัยการจังหวัดไม่มีอํานาจสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสอง
...เมื่อระหว่างวันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จําเลยได้เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จูงใจให้เจ้าพนักงานโดยวิธีการอันทุจริตหรือผิดกฎหมายให้กระทําการหรือไม่กระทําการโดยอิทธิพลของตน
กล่าวคือ ภายหลังจากพนักงานสอบสวนของ สถานีตํารวจภูธรนครชุม ได้ส่งสํานวนคดีอาญาที่ 14/2561 ให้สํานักงานอัยการจังหวัดพิษณุโลกแล้ว อัยการจังหวัดพิษณุโลกได้มอบหมายให้นายส. เป็นพนักงานอัยการเจ้าของสํานวน ในระหว่างที่พนักงานอัยการเจ้าของสํานวนยังไม่มีความเห็นและคําสั่ง นาย ณ. พนักงานขับรถยนต์ของสํานักงานอัยการพิษณุโลกได้พาผู้ต้องหาทั้งสองมาปรึกษากับจําเลยถึงเรื่องที่ถูกดําเนินคดี
แต่ในวันดังกล่าว จําเลยมีงาน ไม่สะดวก จึงนัดให้คําปรึกษาในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2561 เวลา 12 นาฬิกา ที่ร้านกาแฟคาเฟ่อเมซอน ซึ่งตั้งอยู่ในสถานีบริการนํ้ามันปตท. ใกล้กับศาลจังหวัดพิษณุโลก ถนนสิงหวัฒน์ ตําบลในเมือง อําเภอเมือง จังหวัด พิษณุโลก ซึ่งจําเลยได้แจ้งกับผู้ต้องหาทั้งสองกับพวกว่าขอดูสํานวนคดีก่อนว่าจะเป็นไปในทิศทางใด แล้วจะหาวิธีหรือแนวทางช่วยเหลือต่อไป
ก่อนที่จะแยกย้าย จําเลยและผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก ได้แลกเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์กันไว้เพื่อใช้ในการติดต่อ โดยจําเลยได้ให้หมายเลขโทรศัพท์ของจําเลยที่ใช้อยู่ในขณะนั้น คือ หมายเลข 090 - 653XXXX กับผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก และจําเลยยังได้เพิ่มผู้ต้องหาที่ 1 เป็นเพื่อนในแอปพลิเคชั่นไลน์เพื่อไว้ใช้ติดต่อกันอีกทางหนึ่งด้วย
ต่อมา วันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 เวลากลางวัน จําเลยได้สั่งการให้นาย อ. โทรศัพท์หา นางสาว อ. กับพวก ติดต่อกลับไปยังจําเลยเพื่อนัดหมายวันเวลาและสถานที่ในการนัดพบกับจําเลย
นางสาว อ. และผู้ต้องหาที่ 1 จึงโทรศัพท์ไปยังจําเลยเพื่อสนทนากันและสอบถามเรื่องคดีความและนัดหมายวันเวลาและสถานที่นัดพบกัน ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 ที่ร้านกาแฟคาเฟ่อเมซอนที่เดียวกับที่จําเลยเคยนัดพบกับผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก ในครั้งแรก
ในการพูดคุยกันทางโทรศัพท์กับผู้ต้องหาที่ 1 ครั้งนี้ จําเลยได้พูดคุยทํานองว่าไม่สะดวกจะสนทนาทางโทรศัพท์ แต่ต้องการนัดพบเพื่อพูดคุยกันโดยตรง แล้วจําเลยได้นัดหมายผู้ต้องหาที่ 1ว่าไปคุยกับผู้ใหญ่เกี่ยวกับคดีดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งพอเห็นแนวทางที่จะเป็นประโยชน์ จึงจะได้ตกลงกันว่าผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก จะตกลงกับแนวทางของจําเลยหรือไม่
จําเลยยังแจ้งกับผู้ต้องหาที่ 1 อีกว่าในวันนัดให้ผู้ต้องหาที่ 1 มาพร้อมกับผู้ต้องหาที่ 2 หรือจะนําภริยาของทั้งสองคนมาด้วยก็ได้ แต่ขอว่ายังไม่ต้องนําบุคคลอื่นมาด้วย
ต่อมา วันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 เวลากลางวัน จําเลยได้เดินทาง ไปพบกับผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก ตามที่นัดหมายไว้ จําเลยแจ้งว่าตรวจดูสํานวนคดีแล้วมีความเห็นใจ ผู้ต้องหาที่ 1 ที่ทําดีแต่กลับต้องตกเป็นผู้ต้องหาจากการพยายามใส่ร้ายและบิดเบือนข้อเท็จจริงจากญาติของผู้ตาย
พร้อมทั้งเล่ารายละเอียดและพยานหลักฐานบางส่วนในสํานวนคดีดังกล่าวให้ ผู้ต้องหาที่ 1 กับพวกฟัง และเอาภาพถ่ายในสํานวนการสอบสวนให้ผู้ต้องหาที่ 1 กับพวกดู
จากนั้น ผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก ได้สอบถามจําเลยถึงแนวทางในการดําเนินการและทิศทางของคดีว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งจําเลยแจ้งว่าได้คุยกับผู้ใหญ่แล้ว ทางผู้ใหญ่เห็นใจและจะให้การช่วยเหลือและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ต้องหาทั้งสอง พร้อมทั้งแจ้งเรื่องค่าดูแลผู้ใหญ่
โดยจําเลยอธิบายว่า ในการที่จะให้ผู้ใหญ่ให้ความช่วยเหลือนั้น ผู้ต้องหาทั้งสองต้องมีค่าดูแลผู้ใหญ่ เพราะถ้าหากทางผู้ใหญ่ไม่ให้ความช่วยเหลือก็จะต้องถูกดําเนินคดีต่อศาล
จากนั้น ผู้ต้องหาทั้งสองกับพวกจึงสอบถามว่า ในเมื่อมิได้กระทําความผิด เหตุใดจึงต้องมีค่าดูแลให้กับผู้ใหญ่ด้วย ซึ่งจําเลยได้ตอบคําถาม โดยยืนยันกับผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก ว่า หากทางผู้ใหญ่ไม่ให้การช่วยเหลือจะต้องถูกฟ้องคดีต่อศาล
เมื่อสอบถามถึงจํานวนค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้เป็นค่าดูแลผู้ใหญ่ จําเลยแจ้งว่าให้ผู้ต้องหาที่ 1 กับพวกเสนอมา
จําเลยยังแจ้งอีกว่าให้รีบตัดสินใจ เพราะจะได้รีบไปคุยกับทางผู้ใหญ่ให้
จากนั้น จําเลยยังได้โทรศัพท์ติดต่อมายังผู้ต้องหาที่ 1 กับพวกอีกหลายครั้ง
ต่อมา วันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 เวลากลางวัน จําเลยโทรศัพท์ไปหาผู้ต้องหาที่ 1 กับพวก ทั้งที่จําเลยเป็นพนักงานอัยการ สํานักงานอัยการจังหวัด พิษณุโลก แต่มิใช่พนักงานอัยการผู้รับผิดชอบสํานวนดังกล่าว แล้วจําเลยได้เรียกรับเงินจากผู้ต้องหา ทั้งสองกับพวก โดยพูดในทํานองว่า จะหาวิธีช่วยเหลือทางคดีเพื่อไม่ให้สั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสอง แต่ต้องขอความเห็นจากทางผู้ใหญ่เพื่อช่วยให้พ้นจากข้อกล่าวหาด้วย
จําเลยไปคุยกับทางผู้ใหญ่มาแล้วรับปากว่าจะช่วยเหลือแต่จะต้องจ่ายค่าดูแล ซึ่งเกณฑ์มาตรฐานทั่วไปจะอยู่ที่หลักแสนบาท
การที่จําเลยเรียกรับเงินค่าดูแลผู้ใหญ่จากผู้ต้องหาทั้งสอง เพื่อจูงใจให้ทางผู้ใหญ่ช่วยเหลือให้พ้นจากคดีซึ่งอยู่ในชั้นของพนักงานอัยการ ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ว่าผู้ใหญ่ที่จําเลยกล่าวอ้างหมายถึงพนักงานอัยการที่เป็นผู้บังคับบัญชาเหนือชั้นขึ้นไปที่มีอํานาจหน้าที่ในการพิจารณาและสั่งสํานวนดังกล่าว
ส่วนคําว่า“ดูแลผู้ใหญ่” ที่จําเลยกล่าวอ้างนั้น ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าหมายถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด
แม้จําเลยจะพูดว่า “เกณฑ์มาตรฐานทั่วไปจะอยู่ที่หลักแสนบาท” โดยจําเลยไม่ได้ระบุจํานวนเงินที่เรียก และไม่ได้มีการรับเงิน ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์จากผู้ต้องหาทั้งสองกับพวกก็ตาม
แต่การกระทําของจําเลยดังกล่าว ก็มีลักษณะเป็นการเรียก รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อเป็นการตอบแทนที่จะจูงใจเจ้าพนักงานและเจ้าพนักงานของรัฐในตําแหน่งอัยการผู้มีอํานาจหน้าที่ในการสั่งคดี โดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมายเพื่อให้กระทําการในหน้าที่อันเป็นคุณแก่ผู้ต้องหาทั้งสองด้วยการสั่งไม่ฟ้อง
การกระทําของจําเลยจึงเป็นความผิดฐานเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์ อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาลโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย หรือโดยอิทธิพลของตนให้กระทําการหรือไม่กระทําการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือโทษแก่บุคคลใด และ ฐานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สําหรับตนเองหรือผู้อื่นเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศ หรือเจ้าหน้าที่ของ องค์การระหว่างประเทศโดยวิธีอันทุจริตหรือผิดกฎหมาย หรือโดยอิทธิพลของตนให้กระทําการ หรือไม่กระทําการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือโทษแก่บุคคลใด...
สุดท้าย จําเลยให้การรับสารภาพ
ศาลพิเคราะห์พฤติการณ์ตามคําฟ้องของโจทก์ และรายงานการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช) ประกอบคํารับสารภาพของจําเลยแล้ว
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จําเลยกระทําความผิดจริงตามฟ้อง ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 19
พิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 175 การกระทําของจําเลยเป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท และแต่ละบทมีอัตราโทษ เท่ากัน ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จําคุก 2 ปี
จําเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษ ให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง
คงจําคุก 1 ปี
3. สุดท้าย คดีนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเห็นชอบในการที่อัยการสูงสุด (อสส.) จะไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6
คดีถือเป็นอันสิ้นสุด
กรณีอัยการเรียกรับสินบน แลกกับการช่วยเหลือสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ นับเป็นกรณีศึกษาอุทาหรณ์ที่สำคัญสำหรับอัยการทั้งหลาย
อย่าได้กระทำผิดซ้ำรอย กินสินบาท คาดสินบน
ชีวิตอนาคตดับวูบ นับถือตัวเองก็ยังไม่ได้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี