นับจากวันนี้ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคมไปอีกแปดวัน ก็จะถึงวันสิ้นปี ซึ่งดูเผินๆ ไม่คิดอะไร ก็เหมือนกับว่าคนไทยจะโชคดี เพราะได้นายกรัฐมนตรีขึ้นมาบริหารประเทศถึง 2 คนในเวลาเพียงแค่ 1 ปีกว่า
แต่ถ้าคิดกันด้วยเหตุผล กลับเป็นเรื่องโชคร้ายของคนไทยทั้งประเทศ แม้จะมีคนเพียง 10.96 ล้านเสียงที่เลือกพรรคเพื่อไทยโดยยึดจากคะแนนปาร์ตีลิสต์สมหวังก็ตาม เพราะคนไทยที่เลือกพรรคการเมืองอื่นก็ต้องยอมรับรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และมี 2 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีไปด้วย
เนื่องจากพรรคการเมืองอื่นที่คนไทยอีกเกือบ 30 ล้านเสียง จากผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง สส.เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 จำนวน 39.51 ล้านเสียง ได้เลือก สส.ของแต่ละพรรคเข้าไปในสภาผู้แทนราษฎรนั้น มีเสียงไม่พอที่จะจัดตั้งรัฐบาลได้
ดังนั้น คนไทยที่ไม่ได้เลือก สส.พรรคเพื่อไทย อันหมายรวมถึงคนไทย 60 ล้านคน ทั้งที่ไม่มีสิทธิ์เลือกตั้งและที่นอนหลับทับสิทธิ์ ต้องถือว่าโชคร้าย เพราะนายกรัฐมนตรีคนแรกของพรรคเพื่อไทย คือ นายเศรษฐา ทวีสิน บริหารประเทศได้ 1 ปี ก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง โดยที่นอกจากจะยังไม่ได้ทำงานอะไรเป็นเรื่องเป็นราวให้เกิดประโยชน์สุขแก่ชาติบ้านเมืองและประชาชน นั่นประการหนึ่งแล้ว
อีกประการหนึ่ง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี“หุ่นเชิด”ของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ก็ยังพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อมกับการสิ้นสุดของรัฐบาลทั้งคณะ ด้วยความผิดที่มีมลทินติดตัว ฐานละเมิดรัฐธรรมนูญ ทั้งไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง..กรณีตั้ง“ทนายถุงขนม-พิชิต ชื่นบาน”เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
เมื่อเก้าอี้นายกรัฐมนตรีส่งต่อมาถึง“แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยอีกคนหนึ่ง..ด้วยระยะเวลา 90 วันบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ที่มีอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดาเป็นนายกรัฐมนตรีทับซ้อนอยู่นั้น..มองด้วยพื้นฐานของข้อเท็จจริง..ถือว่าทำงานไม่ผ่าน และน่าห่วงใยสำหรับอนาคตของบ้านเมือง
เพราะนอกจาก“แพทองธาร ชินวัตร” จะขาดสติปัญญาและไร้ความรู้ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว..ก็ยังเป็น“หุ่น”ที่ถูกบิดาใช้เป็นร่างทรง อันเป็นเรื่องน่าอันตรายอย่างยิ่ง..เป็นเรื่องที่น่าอันตรายทั้งแก่ตัวเธอเอง และต่อประเทศชาติ
ที่น่าอันตรายแก่ตัว“มาดามแพ”นั้น ก็เพราะเธอไม่รู้เรื่องที่บิดาคิดและกำหนดเป็นนโยบายให้ทำ เรียกว่าไม่ประสีประสาอะไรสักเรื่องเดียว สิ่งที่“มาดามแพ”ทำได้ ก็แค่พูดไปตามบทที่บิดาเขียนและกำกับ โดยอ่านด้วยการท่องจากไอแพดที่มีการบันทึกไว้ หรือบางครั้งก็ต้องมีพี่เลี้ยงอย่างนายภูมิธรรม เวชยชัย และรวมถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล คอยบอกบทระหว่างยืนเป็นพระอันดับขณะที่“มาดามแพ”แถลงข่าว
ดังนั้น เมื่อตัว“มาดามแพ”ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทั้งงานการและกาลเทศะในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นอกจากเก่งในเรื่องการแต่งตัวไม่ซ้ำชุด และใช้ของหรูแบรนด์เนมราคาแพงจากต่างประเทศแต่ไร้รสนิยม, จึงเป็นเรื่องน่าอันตรายสำหรับตัวเธอเอง
เนื่องจาก หากวันใดที่เกิดความผิดพลาดในนโยบายต่างๆ ที่บิดาเป็นผู้กำหนดและเธอเป็นผู้ปฏิบัติขึ้นมา..คนที่ทำผิดจะต้องติดคุกคือ“มาดามแพ”..ไม่ใช่บิดาของเธอ ซึ่งคิดอย่างคนทั่วไปแล้ว บิดาของเธอช่าง“อำมหิต”ผิดมนุษย์จริงๆ..กับลูกสาวก็ไม่ยอมละเว้น
แต่ข้อที่จะเป็นอันตรายต่อประเทศชาตินั้น ก็เพราะเหตุที่“ทักษิณคิด” และ“แพทองธาร ชินวัตร”กับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย“ทำ”..ซึ่งจะมีก็แต่เฉพาะคนไทย 10.96 ล้านคนเท่านั้น ที่เชื่อในความเก่งกาจสามารถของ“ทักษิณ ชินวัตร” จึงเลือกพรรคเพื่อไทย อันมีผลมาจากสมัยที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ระหว่างปี 2544-2549
ส่วนคนไทยทั่วไปที่ไม่เชื่อในสิ่งที่“ทักษิณคิด”และเห็นว่าจะเป็นอันตราย นั่นก็คือ ในทุกๆ เวทีที่“ทักษิณ ชินวัตร”ไปโชว์วิสัยทัศน์ และเป็นเรื่องเดียวกับที่“มาดามแพ”และรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำชุดนี้ต้องปฏิบัติตาม ล้วนเป็นนโยบายประชานิยมในระบบ“ทักษิโณมิกส์” หรือระบบ“ประชานิยมในแบบทักษิณ”ในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ที่ทำให้เกิดการทุจริตอย่างมโหฬาร รวมทั้งเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนที่เป็นพวกพ้อง และเป็นระบบที่สุ่มเสี่ยงต่อฐานะการเงินการคลังของประเทศ
ล่าสุดที่จังหวัดนครราชสีมาเมื่อวันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา ในเวทีสัมมนา “ISANNEXT พลิกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตโลก” ซึ่ง“ทักษิณ ชินวัตร” ได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “อนาคตอีสาน โอกาสประเทศไทย“ โดยเนื้อหาเป็นเนื้อเดียวกับที่“มาดาแพ”พูดแบบท่องในวาระต่างๆ แต่ไม่ชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร เพราะเธอคิดไม่ได้และไม่เข้าใจ บิดาจึงต้องตามมาขยายความ รวมทั้งจากการพูดของทักษิณในงานนี้ ในหลายๆ เรื่องก็ฟุ้งแบบจับโน่นชนนี่ แม้กระทั่ง“สตรีเพศ”ชาวอีสานก็จะแปรเป็นเงินตรากับ“อาชีพนางแบบส่งออก” เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ชาวอีสาน
ยกมาเป็นตัวอย่างเรื่องหนึ่ง ที่“ทักษิณ ชินวัตร”พูดที่โคราช..ซึ่งอันตรายและสุ่มเสี่ยงกับระบบการเงินของประเทศ..นั่นก็คือ เรื่อง“บิทคอยน์-คริปโตเคอร์เรนซี่”(Cryptocurrency)..อันเป็นรูปแบบหนึ่งของเงินดิจิทัล ที่“ทักษิณ ชินวัตร”อ้างว่า“โดนัล ทรัมป์”กลับมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯรอบนี้เอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ และสหรัฐฯกำลังเพิ่มเม็ดเงินเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจในรูปแบบของคริปโต และถ้าหากไทยไม่ทำก็จะทำให้ตามเขาไม่ทัน
สรุปก็คือ “ทักษิณ ชินวัตร”เห็นว่า ควรจะขายพันธบัตรในรูปของ“คอยน์” ซึ่งทักษิณขยายความว่า..“พันธบัตรที่เราต้องออกทุกปี ปีละ 8 แสนล้านบาท นำเงินส่วนนั้นเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจในรูปแบบของคริปโต ในรูปแบบของเหรียญ หรือคอยน์ และขายบุคคลทั่วไป ให้อายุพันธบัตรสั้นลง โดยเงินเหล่านี้ จะอยู่ในมือของประชาชน ดีกว่านำไปแช่ไว้ในสถาบัน ซึ่งจะนำมาใช้กับทุกภาคทั้งประเทศ เพื่อให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ไม่อย่างนั้นจีดีพีเราไม่มีทางโต ทำนายกี่ครั้งก็ 2 เปอร์เซ็นต์ ผมฟังแล้วทุเรศ และจะทำยังไงให้ถึง 4 เปอร์เซ็นต์-5 เปอร์เซ็นต์ ให้ได้ นี่เป็นวิธีเดียวที่ไม่ต้องไปพิมพ์แบงก์”
พูดได้คำเดียวว่า ถ้ารัฐบาลของ“มาดามแพ”ทำอย่างที่“ทักษิณคิด”..ซึ่งสอดรับกับระบบ“ทักษิโณมิกส์”..ระบบการเงินการคลังของประเทศสุ่มเสี่ยงต่อความ“วิบัติฉิบหาย”แน่..และคนที่จะร่ำรวยก็แค่คนหยิบมือเดียว คือพวกพ้องของ“ทักษิณ ชินวัตร”..หาใช่ว่าคนไทยจะ“มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี”..อย่างที่“มาดามแพ”เจื้อยแจ้วท่องเป็นนกแก้วนกขุนทองแต่อย่างใด
มิน่า ! พรรคเพื่อไทยถึงอยากจะดัน“กิตติรัตน์ ณ ระนอง”เข้าไปเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติให้ได้ใจจะขาด ?!
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี