ปีหน้า 2568 เป็นปีมะเส็งงูเล็ก “รัฐบาล(พ่อ)เลี้ยง”ที่มี“แพทองโพย”หรือ“แพทองธาร ชินวัตร”เป็นนายกรัฐมนตรีโปรยฝันว่า จะเป็นปีแห่งความหวังของคนไทย
ขณะที่ผู้สังเกตการณ์ทางเมืองเห็นว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่การเมืองร้อนระอุ อันอาจจะส่งผลให้รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจะอยู่หรือไปก็ได้ เพราะรัฐบาลชุดนี้ตั้งอยู่บนความ“ทับซ้อน”ทุกเรื่องราว
เป็นรัฐบาลก็เป็นรัฐบาลทับซ้อน เอกภาพภายในระหว่างรัฐบาลผสมด้วยกันก็เป็นไปอย่างที่ไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกัน เพราะพรรคเพื่อไทยคิดแต่ผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก..มากกว่าผลประโยชน์ของส่วนรวมที่กำหนดเป็นนโยบายร่วมกันในฐานะที่เป็นรัฐบาลผสม
การออกมาฟาดงวงฟาดงาของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เมื่อเร็วๆ นี้ในงานสัมมนาของพรรคเพื่อไทย เรื่องรัฐมนตรีต่างพรรคที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันลาประชุม ครม. ในนัดที่มีวาระการประชุมพิจารณาพระราชกำหนดเกี่ยวกับมาตรการทางภาษีระหว่างประเทศ..ก็น่าจะเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอก..ถึงขนาดทำให้ทักษิณที่เป็นนายกรัฐมนตรีทับซ้อนของรัฐบาลชุดนี้ต้องประกาศว่า..“ต่อไปใครหนี ก็ส่งใบลาออกมาด้วย..อยู่ก็อยู่ ไม่อยู่ก็ไม่ต้องอยู่”
คำประกาศดังกล่าวของ“ทักษิณ ชินวัตร”ได้กระทบชิ่งไปถึง 2 พรรคใหญ่ในรัฐบาล คือพรรคภูมิใจไทย กับ พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล และพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค สองหัวหน้าพรรคนี้ ซึ่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี และบุคคลทั้งสองต่างก็มีชื่อรวมอยู่ในจำนวน 7 รัฐมนตรีที่ลาประชุม ครม.นัดนี้เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมาด้วย
แม้ว่าหลังจากที่“ทักษิณ ชินวัตร”ได้แสดงอำนาจบาตรใหญ่ที่มีเหนือรัฐบาลผสมชุดนี้..จะมีภาพข่าวการออกรอบตีกอล์ฟระหว่างทักษิณ กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล อย่างชื่นมื่นเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมวันก่อน โดยมีกลุ่มทุนพลังงาน คือ นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ และนายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.ฯ ร่วมก๊วนด้วยนั้น..ก็แค่การสร้างภาพ
เป็นการ“สร้างภาพ”เพียงเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่มีรอยปริร้าวในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน เพราะนี่เป็นเพียงแค่ฉากแรกของหนังยาวเรื่อง“อำนาจและผลประโยชน์”ในพรรคร่วมรัฐบาล..ซึ่งมี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นผู้เขียนบท รวมทั้งอำนวยการสร้าง และแสดงนำในฐานะนายกรัฐมนตรีทับซ้อน ที่มี“แพทองโพย”บุตรสาวเป็นตัว“สตั๊นท์”
และก็ด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนของพรรคเพื่อไทยในรัฐบาลทับซ้อนชุดนี้..จึงทำให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้สัมภาษณ์หลังงานสัมมาของพรรคเพื่อไทย และเป็นการให้สัมภาษณ์ก่อนหน้าที่จะออกรอบทีกอล์ฟกับ“ทักษิณ ชินวัตร” โดยยืนยันว่า การทำงานในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันนั้น ตราบใดที่อยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ ไม่ผิดกฎหมาย และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ พรรคภูมิใจก็พร้อมสนับสนุน..แต่ถ้าหากผิดไปจากนี้ นายภูมิธรรมกล่าวชัดถ้อยชัดคำว่า “ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นเราก็ No”
อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้ แม้ว่ากรณีที่พรรคเพื่อไทยพยายามจะดันนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เข้าไปนั่งเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ท่ามกลางเสียงคัดค้านของทุกฝ่าย และอาจะทำให้ทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติคัดค้านถ้ามีการนำเสนอเข้า ครม.เพราะนายกิตติรัตน์อาจจะมีปัญหาในเรื่องคุณสมบัติการดำรงตำแหน่ง..จะถูก“ถอดสลัก”ออกไปแล้ว จากการเปิดเผยของนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ว่าสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่า นายกิตติรัตน์ไม่ผ่านคุณสมบัติที่นายกิตติรัตน์ไม่ผ่านคุณสมบัติ เพราะเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีสมัยนายเศรษฐา ทวีสิน ถือว่าเป็นบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง..แต่ก็ยังมีอีกเรื่อง“MOU 44”เป็นระเบิดเวลาค้างอยู่ใน ครม.อีกเรื่องหนึ่ง
อีกทั้งเรื่อง“MOU 44”นี้..ไม่เพียงแต่จะเป็นปัญหา..ที่อาจจะทำให้พรรคภูมิใจไทย และพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่เห็นด้วยกับพรรคไทยรักไทยในประเด็นที่หมิ่นเหม่ต่อการที่ประเทศไทยจะเสียทั้งอธิปไตยเหนือดินแดน และผลประโยชน์ด้านพลังงานที่มีมูลค่ามหาศาลอันเป็นขุมทรัพย์ใต้ทะเลในอาณาบริเวณเกาะกูด จังหวัดตราด ที่จะเป็นศึกภายในรัฐบาลเท่านั้น
ประเด็นปัญหาเกี่ยวกับ“MOU 44”ก็ยังจะทำให้การเมืองในปี 2568 ปีมะเส็งงูเล็ก ร้อนระอุอันนำไปสู่การ“ลงถนน”ของประชาชนเรือนแสนเรือนล้านก็เป็นไปได้..ซึ่งเรื่องนี้ต้องบอกว่า“ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”..และอย่าได้ประเมินต่ำเหมือนพลทหารหน้าค่ายของพรรคเพื่อไทยเฉกเช่น“ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ”เป็นอันขาด เพราะคำพูดและสติปัญญาของบุคคลผู้นี้ไม่มีราคาพอที่จะเชื่อถือได้
การไปฟังคำตอบจากรัฐบาลของ“สนธิ ลิ้มทองกุล”ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากยื่นหนังสือให้รัฐบาลหยุดปฏิบัติการตาม“MOU 44”ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันยื่นหนังสือในวันที่ 9 ธันวาคม 2567 และได้กำหนดนัดฟังคำตอบภายใน 15 วันหลังจากยื่นหนังสือ..ก็ได้ข้อสรุปชัดเจนแล้วว่า..รัฐบาลนิ่งเฉยไม่มีการตอบรับข้อเรียกร้องใดๆ
ทั้งนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวว่า “การแสดงออกของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ทำให้เห็นแล้วว่า จงใจละเลยต่อหน้าที่ในการรักษาไว้ซึ่งเอกราชอธิปไตย บูรพาแห่งทะเลอาณาเขต เขตต่อเนื่อง และเขตไหล่ทวีป ซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยในการสำรวจ และแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติในทะเลด้านอ่าวไทย ถือเป็นการกระทำที่ละเลยต่อหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และทำการสนับสนุนการกระทำความผิดที่จะทำให้ประเทศไทยหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรไทย ต้องส่งไปอยู่ในอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ ทั้งยังเห็นว่า คณะรัฐมนตรีมีพฤติการณ์บางประการ ดูเหมือนคบคิดกับผู้นำของประเทศกัมพูชา ด้วยความประสงค์ที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐ”
โดยข้อเรียกร้องที่ฝ่ายประชาชนนำโดย“สนธิ ลิ้มทองกุล”เสนอไปนั้น..ขอให้คณะรัฐมนตรีเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า “MOU 44” และ “JC 44” ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือไม่..นอกจากนั้น ยังเสนอให้คณะรัฐมนตรีมีการเจรจากับประเทศกัมพูชาเพื่อยกเลิก “MOU 44” และ “JC 44” รวมถึงระงับการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมทางเทคนิค หรือ JTC จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย และมีการดำเนินการให้ถูกต้องตามบทบัญญัติของกฎหมาย และขอให้จัดเวทีสาธารณะเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจปัญหาของประเทศ
เมื่อรัฐบาลนิ่งเฉยชนิดที่ไม่หือไม่อือ ประชาชนก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากการ“ลงถนน” เป็นการลงถนนในนาม“มูลนิธิยามเฝ้าชาติบ้านเมือง” ซึ่ง“สนธิ ลิ้มทองกุล”เปิดเผยหลังจากเข้าหารือกับตัวแทนฝ่ายรัฐบาลเพื่อฟังคำตอบนานกว่า 2 ชั่วโมง ว่า“เอาเป็นว่า ท่านผู้ชมครับ วันนี้เราก็บรรลุวัตถุประสงค์ของเราพอสมควร..การเดินทางของกลุ่มมวลชนต่อไป จะเดินหน้าด้วยมูลนิธิยามเฝ้าชาติบ้านเมือง..จะเรียกร้องไม่ใช่เพียง MOU 44 เท่านั้น เพราะมีหลายประเด็นที่เหมือนเอาเท้าขยี้กฎหมาย เช่น ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ, ปัญหาเขากระโดง และปัญหาต่างด้าว โดยมีพรรคประชาชนชักศึกเข้าบ้าน”
อนึ่ง “มูลนิธิยามเฝ้าชาติบ้านเมือง” ตามที่“สนธิ ลิ้มทองกุล”เปิดเผยนั้น จะมีนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เป็นประธานมูลนิธิ รวมทั้งที่ปรึกษาอีกหล่ายฝ่าย โดยบุคคลที่ตอบรับว่าจะเป็นที่ปรึกษานั้น ในเบื้องต้นนี้มีเแล้ว 2 คน คือ พญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีต สว. และนายคมสัน โพธิ์คง รองคณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
เมื่อประชาชนจำต้องลงถนน-ก็อย่างที่“สนธิ ลิ้มทองกุล”ประกาศไว้ในวันยื่นหนังสือเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2567 ว่า“สู้ในครั้งนี้ ถ้าจะสู้ในที่สุด ต้องชนะอย่างเดียว”
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี