เรื่องของ“ทักษิณ ชินวัตร”นั้น มีให้เขียน และมีให้พูดถึงได้ทุกวัน แล้วก็ไม่ใช่เรื่องดี แต่เป็นเรื่องนิสัยที่เป็นธาตุแท้ของทักษิณล้วนๆ ซึ่งภาษาชาวบ้านเรียกว่า“สันดาน”
จะเห็นได้ว่านับวัน“ทักษิณ ชินวัตร”ก็ยิ่งกร่างคับประเทศ จากที่สร้างภาพทำสำออยป่วยใกล้ตายในวันออกจากโรงพยาบาลตำรวจ และกลับไปอยู่คุกเทียมที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ด้วยการ“ใส่เฝือกแขน-ดามเฝือกคอ” ซึ่งปรากฏว่าผ่านไปได้ไม่กี่วัน ก็เดินได้ปร๋อ เหมือนคนปกติทั่วไป
ถึงวันนี้“ทักษิณ ชินวัตร”คนเดิมกลับมาแล้ว ไม่ต้องรอให้ใคร“ก้าวข้าม” เพราะทักษิณเหยียบหัวผู้คนไว้ใต้อุ้งเท้าของตนเองหมดสิ้น พูดจาสามหาว ชาวบ้านเรียกว่าปากสุนัข-อวดเบ่ง..แสดงอำนาจบารมี-อวดศักดา..ว่าในแผ่นดินนี้ไม่มีใครเก่งหรือ“เจ๋ง”ไปกว่าตนอีกแล้ว
มิหนำซ้ำ ปากคอยังระรานผู้คนทั่วสารทิศ ขึ้นไปเชียงใหม่หนนี้ของ“ทักษิณ ชินวัตร”เพื่อไปหาเสียงช่วย“พิชัย เลิศพงษ์อดิศร” หรือ “สว.ก๊อง” ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 23-24 ธันวาคมที่ผ่านมานั้น ทักษิณพองตัวใหญ่จริงๆ อู้คำเมืองใช้ทั้ง“คิง”ทั้ง“ฮา”..เรียกว่าขึ้นมึงขึ้นกูอย่าง“ผยอง-พองขน”..ไม่เห็นหัวใครทั้งสิ้น
จะเรียกว่า กำเริบเสิบสาน..ด้อยค่าคน เปรียบคนเหมือนสุนัข และลำเลิกบุญคุณคน เหมือนกับที่เคยเปรียบลูกพรรคที่ตีจากว่าเป็น“สุนัขในคอก” ซึ่ง“ทักษิณ ชินวัตร”คงลืมไปว่า คนไทยทั่วไปนั้น ไม่ใช่นักการเมืองที่เป็นบริษัทบริวารอยู่รอบตัวของตน..ประเภท“สุนัข”ที่พร้อมจะเลียเท้ายอมสบยประจบเจ้านายอยู่ทุกเวลานาที เพื่อแลกกับน้ำข้าวในชามและเศษอาหารที่ทักษิณ“ขุน”ให้
พิจารณาได้จากที่“ทักษิณ ชินวัตร” ไปพูดที่เวทีปราศรัย ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า
“คิดเล่นๆ สื่อไม่ต้องเอาไปเขียน ผมจะขออาสาสมัครทนายความ หากใครเก่งก็ขอให้มาช่วยฟ้อง แต่ก็รู้สึกว่ามันน่ารำคาญ บางคนเราก็รู้พื้นเพกันอยู่ มันมาเห่าอยู่นั่น เพราะบางคนไม่ได้ทำอะไรเลย บางคนผมเคยให้เงิน และพ่อเคยสอนผมว่า วันนี้เราเลี้ยงข้าวมันมื้อเดียว มันอิ่ม มันก็ขอบคุณเรา แต่มื้อหน้า มันหิว มันหาคนเลี้ยงข้าวใหม่ ถ้าเราไม่เลี้ยงมัน มันก็ขบเรา แล้วเราต้องเลี้ยงมันทุกวันเลยหรือ ลูกเราโตแล้วยังหากินเองได้ แต่บางคนแก่จนจะลงโลงแล้วยังไม่รู้จักหากินเอง เห็นแล้วรำคาญมาก’
ฟังที่“ทักษิณ ชินวัตร”พูดแล้ว ก็ทำให้นึกถึงคำคมของ“โกวเล้ง”จากนิยายกำลังภายในเรื่อง“ฤทธิ์มีดสั้น” ซึ่งเป็นวรรณกรรมชิ้นอมตะที่นักอ่านนิยายกำลังภายในทั่วไปนิยมชมชอบ..ที่ว่า “ชาติกำเนิดของคนหาได้สำคัญนักไม่ คนทั้งมิใช่สุนัข มิใช่อาชา จะต้องมี‘พันธุ์ดี'จึงนับว่าดีได้..คนที่คิดจะเป็นบุคคลเยี่ยงไรนั้น ล้วนอยู่ที่ตัวมันเองทั้งสิ้น”
อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ก็เป็นเช่นนั้น หนีหัวซุกหัวซุนต้องไปเป็นสัมภเวสีอยู่ในต่างแดนถึง 15 ปีกับ 1 เดือน หลังจากขออนุญาตหลอกศาลว่าจะไปดูกีฬาโอลิมปิกที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2551 แล้วก็เผ่นหนียาวไปเลย..พอถึงวันนี้เมื่อหลงตนคิดว่า“กูใหญ่”ที่สุดในแผ่นดินนี้..ความ“อาฆาตแค้น”ที่ฝังใจเจ็บด้วยคิดว่าตนเป็นฝ่ายถูกกระทำจึงสำแดงออกมาให้เห็น..และเป็นตัวตนอันแท้จริงของทักษิณ
คนที่พูดถึงธาตุแท้หรือ“สันดาน”ของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร “โมฆบุรุษ”ผู้โกงบ้านกินเมืองคนนี้ได้ดีที่สุด ก็คือ “จตุพร พรหมพันธุ์”วิทยากร“คณะหลอมรวมประชาชน-เฟซบุ๊คไลฟ์” อดีตแกนนำ นปช.ของมวลชนเสื้อแดง“เผาบ้านเผาเมือง” ซึ่งได้สาธยายไว้ในเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 25 ธันวาคมเมื่อวานนี้
“จตุพร พรหมพันธุ์” ซึ่งเคยร่วมหัวจมท้ายกับ“ทักษิณ ชินวัตร”มาก่อน เช่นเดียวกับ“ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ”เพียงแต่ต่างกัน ด้วยคนหนึ่งปากกับใจตรงกัน กับอีกคนหนึ่งไหลลื่นกลับกลอกพร้อม“เชลียร์” จึงมีเส้นทางที่ต้องกลายเป็นคู่ขนาน, ได้พูดถึงการปราศรัยหาเสียงของทักษิณที่จังหวัดเชียงใหม่ว่า
“เป็นอาการสติแตกของคนมีความอึดอัดคับแน่นอก จึงตอบโต้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟันเพื่อเอาคืน เสมือนต้องการแก้แค้น ดังนั้น การอ้างกลับไทยมาเลี้ยงหลานจึงสวนทางกับพฤติกรรมเป็นผู้ช่วยหาเสียง ที่พูดดุด่าไม่เหมาะสมกับสถานะพ่อของนายกฯ”
ยกให้ดูอีกหนึ่งย่อหน้าที่“จตุพร พรหมพันธุ์” พูดถึง“ทักษิณ ชินวัตร”ประเภท“ไก่เห็นตีนงู-งูเห็นนมไก่” โดยจตุพรมองแบบทะลุถึงตับไตไส้พุงของทักษิณว่า..“การเกรี้ยวกราดของทักษิณ ใช้สารพัดคำมาดุด่า ประจาน ด้อยค่า มีทั้งโคตร ทั้งเห่าหอน คิงฮาภาษาคำเมือง หรือตาต่อตาฟันต่อฟัน ไม่ว่าเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษ งัดออกมาพูดขยี้ทิ่มแทงเต็มที่ ด้วยอารมณ์แข็งกร้าวแบบนี้ แสดงถึงความไม่มั่นใจ เพราะถ้าคนมั่นใจจะสุขุมในการพูดและการแสดงออกต่อสาธารณะ”
และอีกหนึ่งย่อหน้า..ชัดๆ จากปากสามหาวของ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่ไปพูดที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2567 ณ เวทีปราศรัย ตลาดภูสุวรรณ ตำบลมะขามหลวง อำเภอสันป่าตอง
“เดี๋ยวนี้มีข่าวสองประเภทข่าวหนึ่งคือข่าวการเมือง ข่าวมีน้อยแต่ขยายจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต และขยันเอาพวกที่เป็นขาประจำตัวมาสัมภาษณ์ ให้มันออกมาด่าเพื่อที่จะได้เป็นข่าว และได้รับความสนใจ บังเอิญว่าอายุมากแล้วหูตึง เวลามันด่าไม่ค่อยได้ยิน แต่รู้ว่ามันด่าว่าอะไรจึงสวนไปบ้าง เมื่อแก่แล้วนิสัยก็เปลี่ยน ใจเย็นขึ้น แต่ว่าใครแรงมาก็แรงไป คิงเล่นฮา ฮาก็จะเล่นคิง และเดี๋ยวนี้ฮาไม่หมูนะ คิงอย่ามาเล่นกะฮานะ รำคาญโคตรพ่อโคตรแม่ อะไรนักหนา”
คิงคือ“มึง”-ฮาคือ“กู” ซึ่งจะโคตรพ่อโครตแม่ของใครก็ไม่สำคัญเท่ากับ..โคตรที่มีสันดาน“โกงโคตร-โคตรโกง”..คนพรรค์นี้หรือโคตรนี้อยู่ไปก็อันตรายต่อประเทศชาติบ้านเมืองครับ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี