คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
แจกเงินหมื่นให้ผู้สูงวัย !!
จำนวน 10,000 บาทต่อคน
โดยให้เร่งจ่ายเงินภายในเดือนมกราคม 2568 ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนของกลุ่มเป้าหมาย
สว. อายุ 60 ปีขึ้นไป รอรับเงินหมื่น ก่อนตรุษจีน!
1.ที่มาของเงิน
ครม.อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568งบกลางรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนไม่เกิน 40,000 ล้านบาท
ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินที่กลุ่มเป้าหมายได้รับตามโครงการฯ
นั่นหมายความว่า งบกลางก็จะลดหายไปอีก 4 หมื่นล้านบาท
หากมีปัญหาเร่งด่วน เช่น ผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ผลกระทบจากสงครามและภูมิรัฐศาสตร์โลก หรือหากเกิดปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ จะต้องลุ้นว่าเอาเงินที่ไหนมาช่วยเหลือประชาชน จะเพียงพอหรือไม่ เพราะปัจจุบัน ไม่มีโครงการประกันรายได้จำนำพืชผลการเกษตรแล้ว ฯลฯ
2.กลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ ประมาณการจำนวนไม่เกิน 4 ล้านคน
คือ กลุ่มผู้สูงวัยที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่นทางรัฐ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 สำเร็จ
สัญชาติไทย อายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ 15 กันยายน 2567 ซึ่งได้รับการตรวจสอบข้อมูลสัญชาติและอายุกับกรมการปกครองแล้ว
โดยกรมการปกครอง กรมสรรพากร กรมราชทัณฑ์ ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) และกรมบัญชีกลาง ทำหน้าที่ร่วมมือกันตรวจสอบคุณสมบัติและคัดกรองกลุ่มเป้าหมาย
คุณสมบัติที่ต้องตรวจสอบ คือ
(1) ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566
(2) ไม่เป็นผู้ที่มีเงินฝากรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567
(3) ไม่เป็นผู้อยู่ในสถานสงเคราะห์ในสังกัด พม. ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
(4) ไม่เป็นผู้ต้องขัง 4 ประเภท ได้แก่ นักโทษเด็ดขาด ผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีผู้ต้องกักขัง และผู้ต้องกักกัน ตามฐานข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2567
(5) ไม่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 (แจกเงินหมื่นให้กลุ่มเปราะบางไปแล้ว 14 ล้านคน)
3. แจกเงินหมื่นรอบที่แล้ว เกิดกรณีโอนเงินให้คนตาย
โดยพบว่า มีการจ่ายเงินหมื่นให้ผู้ไม่มีสิทธิ
มีกลุ่มเป้าหมายเสียชีวิต หรือถูกจำหน่ายออกจากฐานข้อมูลทะเบียนกลางหลังจากวันที่มีการตรวจสอบสถานการณ์ชีวิตกับกรมการปกครอง ทำให้ได้รับการจ่ายเงินไปจำนวน 4,895 ราย
พูดง่ายๆ ว่า จ่ายเงินให้คนตาย!
ล่าสุด ครั้งนี้ ได้ให้กรมบัญชีกลางนำข้อมูลที่ได้รับมาดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติกลุ่มเป้าหมายว่าเป็นผู้มีสถานะการมีชีวิตตามฐานข้อมูลของกรมการปกครอง ณ สิ้นวันก่อนหน้าของวันที่กรมบัญชีกลางส่งข้อมูลไปตรวจสอบ
เพื่อตัดสิทธิ์บุคคลที่เสียชีวิตหรือถูกจำหน่ายออกจากฐานข้อมูลทะเบียนกลาง ก่อนจัดทำข้อมูลสำหรับการจ่ายเงินตามโครงการฯ ก่อนการจ่ายเงินในแต่ละรอบ
4. คุ้มค่า 40,000 ล้านแค่ไหน?
โครงการนี้ ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2568 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวนกว่า 40,000 ล้านบาท
ในการรายงานต่อ ครม. ระบุวัตถุประสงค์ของโครงการว่า เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของผู้สูงอายุ ให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็นในการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มการบริโภคที่จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ
อธิบายต่อ ครม.ว่า โครงการนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ ดังนี้
(1) ผู้สูงอายุจะสามารถใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตตามความจำเป็นของตน
(2) สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
(3) ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 0.07 - 0.1 ต่อปี
การอธิบายเหตุผลเท่านี้ อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ว่า เป็นนโยบายสิ้นคิด
เหมือนที่ทักษิณ ชินวัตร หรือโทนี่ เคยพูดไว้สมัยที่ยังหนีคดีอยู่ว่า“เอาเงินไปแจกผมว่าปัญญาอ่อน ถ้ามีปัญญาเขาไม่แจก เขาใช้เงินไปสร้างเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจแข็งแรง”
เพราะแจกเงินไป กลุ่มเป้าหมายได้เงินก็นำไปใช้จ่าย เกิดผลบวกทางเศรษฐกิจแน่นอน แต่ผลที่คาดไว้นั้น ดูจะไม่คุ้มกับ “ค่าเสียโอกาส” เลยแม้แต่น้อย
5.ข้อแนะนำของ ธปท.
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ส่งข้อเสนอแนะถึงรัฐบาลเกี่ยวกับการดำเนินโครงการนี้ โดยมีการพิจารณาอย่างรอบคอบในด้านการใช้จ่ายภาครัฐและผลกระทบต่อการคลังในระยะยาว
ข้อเสนอน่าสนใจ บางส่วนระบุว่า
(1) การจัดสรรงบประมาณเพื่อกระตุ้นการลงทุนภาครัฐ
ธปท. เสนอให้รัฐบาลพิจารณาจัดสรรงบประมาณบางส่วนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ไปยังการลงทุนภาครัฐเพิ่มเติม เช่น โครงการพัฒนาฐานโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาบุคลากรในสาขาที่ขาดแคลนและจำเป็นซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว และยกระดับศักยภาพของประเทศให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
(2) การติดตามและประเมินผลโครงการอย่างใกล้ชิด
เนื่องจากโครงการนี้มีมูลค่าทางการคลังสูง จึงจำเป็นต้องมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินความคุ้มค่าของโครงการ รวมถึงการบริหารจัดการเครื่องมือในการระดมทุนอย่างมีประสิทธิภาพ และเร่งชำระคืนต้นเงินกู้ เพื่อรองรับการขาดดุลงบประมาณในอนาคต ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพการคลัง และลดความเสี่ยงจากต้นทุนการกู้ยืมที่อาจสูงขึ้น
(3) การใช้ประสบการณ์จากโครงการที่ผ่านมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ธปท. ยังแนะนำให้ภาครัฐใช้ประสบการณ์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจในอดีต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในการตรวจสอบคุณสมบัติของกลุ่มเป้าหมาย โดยให้ความสำคัญกับการตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อมูลเงินฝาก ซึ่งต้องมีความชัดเจนและเป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้โครงการมีความโปร่งใสและรวดเร็วในการดำเนินการ
ข้อเสนอของธปท. นี้ เป็นการเน้นย้ำให้รัฐบาลดำเนินการโครงการนี้อย่างระมัดระวัง โดยคำนึงถึงทั้งประโยชน์ระยะสั้นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และผลกระทบระยะยาวต่อการคลัง เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดและไม่สร้างภาระต่อเศรษฐกิจในอนาคต
6.การแจกเงินแบบนี้ ห่างไกลจากสิ่งที่จะนำไปอ้างว่า เป็นผลงานการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล
ไม่ต่างกับการเสพติดการแจกเงิน ซื้อคะแนนนิยมทางการเมือง โดยใช้เงินแผ่นดิน
ปลายทางอยู่ตรงไหน? จะละเลงเงินแผ่นดินไปทั้งหมดเท่าไหร่? ผลได้คุ้มกับผลเสีย หรือไม่?
สิ่งที่รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์ควรตระหนัก คือ การแจกเงินไม่ใช่ยาวิเศษ หรือแก้วสารพัดนึกในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ
ย้ำว่า ถ้าแจกเงินแล้วทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น แข็งแรงขึ้น ยั่งยืน ง่ายๆ แค่นั้นทุกประเทศในโลก (แม้แต่ประเทศที่รวยกว่าไทย) เขาก็คงใช้วิธีแจกเงินกันหมด แล้วก็คงรวยกันทั้งโลกหมดแล้ว
ตรงกันข้าม การแจกเงินแต่ละครั้ง ล้วนมีภาระต้นทุน มีภาระที่ต้องใช้หนี้คืนในอนาคต
ประการสำคัญ มีค่าเสียโอกาสจากการนำเงินนั้นๆ ไปพัฒนาประเทศด้านต่างๆ ที่จำเป็นขาดแคลนด้วย
เงินที่แจกไปเฟสแรก 1.4 แสนล้านบาท สามารถนำไปพัฒนาประเทศได้มากมายมหาศาล แต่ก็เสียโอกาสไป เพราะนำมาแจก
รัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์จึงควรประเมินอย่างเป็นรูปธรรม เป็นหลักวิชาการ ว่าเงินที่แจกไปเฟสแรก 1.4 แสนล้านบาทนั้น เกิดประโยชน์แก่ระบบเศรษฐกิจคุ้มค่ากับโอกาสที่เสียไปหรือไม่ แค่ไหน อย่างไร?
อย่าเอาแค่ยอดการโอนเงินให้ประชาชนมาคุยโวโอ้อวด มันดูไร้สติปัญญาในการบริหารประเทศ
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี