l 0. หลายคน หันมาสนใจธรรม ทั้งการศึกษาและปฏิบัติ มีชีวิตที่เป็นสุข สงบ สบายกายใจคงมีหลายแนวทาง และหลักคิด ซึ่งคงต้องศึกษา และที่สำคัญ คือ “การปฏิบัติ” สำหรับผม มีหลักง่ายๆ คือเมื่อได้ปฏิบัติแล้ว : - เข้าใจ เข้าถึง พัฒนาตนได้ดีขึ้นยิ่งทำยิ่งสุขสงบมากขึ้น
และเมื่อเราผ่านขั้นต้น และผ่านมาได้แล้ว เราสามารถทำต่อเนื่องได้เลย ไม่จำเป็นต้องไปเริ่มต้นใหม่และมีตัวชี้วัด ว่า “ธรรมที่เราศึกษาปฏิบัติมาแล้ว” ถูกต้อง ดีแล้ว คือ : -
๑. ชีวิตดีขึ้น สุขสงบมากขึ้น
๒. กายใจ สติปัญญา สุขภาพ ดีขึ้น
๓. เข้าใจตนเอง และ ผู้อื่นมากขึ้น
๔. ลดสิ่งที่ไม่ดี เพิ่มสิ่งที่ดีในชีวิต
๕. คิดและมองอย่างสร้างสรรค์ เกิดคุณค่า ความหมายและประโยชน์
๖. ใช้ความเป็นจริง ในการคิดการตัดสินใจ
๗. รู้จักการให้อภัย
๘. ฯลฯ
l มีเพื่อนมิตรหลายคน ที่ได้ดำเนินการศึกษาค้นคว้า “หนทางไปสู่สุข” เรามาดูกัน ทั้งปัจเจกหน่วยงานและสถาบันทางด้านศาสนา
l 1. ต่อตระกูล ยมนาค
คนยุคปัจจุบัน ทั่วโลกกำลังกลับไปค้นหา หนทางไปสู่ความสุข
ซึ่งพระพุทธเจ้าค้นหาและพบแล้ว เมื่อ 2,500 กว่าปี ว่า “หนทางพ้นทุกข์” นั้น มีคำตอบอยู่ในความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ คือ อริยสัจ 4 หนังสือภาษาอังกฤษที่ขายดีมากๆติดอันดับ ที่วางอยู่ในชั้นพิเศษ ในร้านหนังสือ Kino ในกรุงเทพฯ ในตอนนี้
๑.ขายดีอันดับ 1 มีชื่อว่า The Four-Way Path หน้าปกอธิบายว่าเป็น หนทาง 4 ประการไปสู่ความสุขจากอินเดียโบราณ อ่านข้างในจึงจะเห็นคำอธิบายว่าเป็นหนทางของศาสนาฮินดู สู่ยอดปรารถนา 4 ประการ คือ
1.คุณธรรมอันสูงส่ง Virtue
2.ความรุ่งเรือง Prosperity
3.ความรัก Love
4.ความอิสระ Freedom
หนังสือเล่มนี้ ขายดีได้เป็นหลายล้านเล่ม ทั่วโลก
๒.เล่มที่ขายดี อันดับถัดมาคือ คือ หนังสือชื่อ The Science of Happiness (วิทยาศาสตร์แห่งความสุข) มองรวมๆ ทั้งชั้น มีแต่หนังสือเกี่ยวกับความสุข ทั้งนั้น
๓.มีบางเล่มที่เกี่ยวกับความทุกข์ เช่นเล่มที่ชื่อว่า“Surrounded by Idiots” (อยู่ยังไงท่ามกลางหมู่คนโง่เง่า/อีเดียด) เห็นชื่อหนังสือที่ฝรั่งเขียน แล้ว ขายดีมาก ทำให้ยิ่งเห็นคุณค่าของคำสอนในพุทธศาสนา ว่าสามารถตอบโจทย์ความทุกข์ ทรมานใจ ของคนในยุคนี้ได้ตรง เพียงแต่ต้องมีคนที่เขียนออกมาให้คนทั่วไปอ่านได้ง่าย และที่สำคัญต้องตั้งชื่อหนังสือสอนศาสนาพุทธยุคใหม่ ให้ตอบตรงใจคนทั่วโลกจำนวนมากมายในยุคนี้ ที่กำลังแสวงหาความสุขอยู่ แต่ยังไม่เจอ
คำตอบที่แท้จริง
**** ทุกเช้าวันอังคารผมจะนำเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาในมุมมองทางวิทยาศาสตร์และมุมของคนไทยทั่วไปที่เป็นผู้นับถือศาสนาพุทธ ได้รับเรื่องใหม่ๆ นำมาเสนอโดย ต่อตระกูล ยมนาค วิศวกรผู้กำลังแสวงหา และเพิ่งเริ่มปฏิบัติสมาธิ
l 2.คำสอนหลวงพ่อหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร ผู้เป็นเลิศด้านสมาธิ (องค์หนึ่ง) หลวงพ่อวิริยังค์สิรินฺธโร ท่านออกแบบหลักสูตรการทำสมาธิ ตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ถึงขั้นสูง คำสอนที่สำคัญของท่าน คือ เรื่องการทำสมาธิแบบบริกรรม
“การบริกรรม ทำให้จิตเป็นหนึ่ง
จิตเป็นหนึ่ง ทำให้เกิดความสงบ
การทำสมาธิจะทำให้เกิดพลังจิตได้ เรียกว่า “พลังจิตตานุภาพ” การทำสมาธินี้จะกำจัดความคิดและพลังอารมณ์ออกไปจนกว่าจิตจะสงบ พลังจิตที่ได้จากการทำสมาธิจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
๑.พลังหลัก
๒.พลังเฉลี่ย
พลังหลัก จะถูกเก็บสะสมไว้ในจิต ไม่มีการแตกสลายตามกายเนื้อแต่สะสมข้ามภพข้ามชาติได้
ส่วนพลังเฉลี่ย จะถูกใช้ไปในชีวิตประจำวัน
การทำสมาธิ คือ การกะเทาะอารมณ์ออกจากจิตเปรียบเสมือนการเคาะสนิมออกจากเหล็ก ยิ่งเคาะออกมากเท่าไร จิตจะสงบนิ่ง เป็นสมาธิที่ลึกขึ้นได้
ญาณสาสมาธิเป็นสมาธิขั้นมหาบัณฑิตที่สูงขึ้นกว่าชั้นครูสมาธิ ในหนังสือเล่มนี้ได้เล่าถึงนิมิตที่เกิดขึ้นจากการทำสมาธิ ไว้ 3 อย่าง ได้แก่
1) นิมิตปกติ คือ มโนภาพ หรือภาพที่เกิดขึ้นลอยๆ จากการทำสมาธิ
2) อุคคนิมิต ภาพที่เกิดความจริงที่สามารถขยายได้ ซึ่งเป็นนิมิตที่เกิดจากจิตที่ยกระดับเข้าสู่อัปปนา
3) ปฏิภาคนิมิต คือ ภาพที่สามารถขยายเกิดขึ้นแบบจินตนาการ
l 3. พระพุทธเจ้าค้นพบอะไร?
พุทธศาสนาเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม ที่ไม่ยอมรับนับถือสิ่งที่เหนือธรรมชาติว่าเป็นสิ่งสูงสุดที่ดลบันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไป แต่ยอมรับธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงที่พิสูจน์ได้จริงว่าเป็นสิ่งสูงสุดที่ดลบันดาลให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไป ซึ่ง “พระพุทธเจ้า” คือผู้ที่ค้นพบความจริงของธรรมชาติ ในเรื่อง
“การเกิดขึ้นและดับหายไปของความทุกข์ของจิตมนุษย์” และได้นำสิ่งที่ค้นพบนั้นมาสอนแก่คนที่สนใจที่จะดับทุกข์ของยุคนั้น จนมีผู้นับถือมากมาย และต่อมาคำสอนของพระองค์ได้ถูกคนรุ่นหลังนำมาตั้งเป็นศาสนาพุทธสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าทรงค้นความจริงของธรรมชาติว่า
“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดมาจากเหตุ (หลายๆเหตุ)” ซึ่งนี่ก็คือกฎสูงสุดของธรรมชาติ ที่เป็น“สิ่งสูงสุด” ของพุทธศาสนา (ที่เทียบได้กับพระเจ้าของศาสนาประเภทเทวนิยม)
จากกฎสูงสุดของธรรมชาตินี้ เมื่อเรานำมาพิจารณาความทุกข์ ที่เกิดขึ้นจริงกับจิตของเรา เราก็จะพบความจริงว่า มันเกิดมาจากกิเลส (พอใจ-ไม่พอใน-ลังเลใจ) นั่นเอง
-คือเมื่อจิตของเราเกิดกิเลสเกิดขึ้นเมื่อใดความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นเมื่อนั้น และ
-เมื่อกิเลสดับหายไปหรือไม่เกิดขึ้นเมื่อใดความทุกข์ก็จะไม่มีหรือไม่เกิดขึ้นเมื่อนั้น (แม้เพียงชั่วคราว) ซึ่งเมื่อจิตของเราไม่มีความทุกข์ มันก็จะสงบเย็นหรือนิพพานทันที (แม้เพียงชั่วคราว) ซึ่งเมื่อเราพบความจริงนี้แล้ว ก็เท่ากับว่าเราพบพระพุทธเจ้าแล้ว เพราะผู้ที่สอนความจริงนี้ก็คือพระพุทธเจ้านั่นเอง
พุทธศาสนามีหลักความเชื่อว่าอย่างไร?
พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อ คือ เมื่อเรามีความเชื่อในพุทธศาสนา เราก็ต้องมีปัญญานำหน้าความเชื่ออยู่ด้วยเสมอ จึงจะทำให้ความเชื่อนั้นไม่เป็นความเชื่อที่ผิดหรืองมงาย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี