แนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา...nn ในปีใหม่นี้ จึงขอให้ประชาชนชาวไทยตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท ดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวัง โดยมีสติรู้ตัวและปัญญารู้คิดอยู่ตลอดเวลา ผู้ใดมีหน้าที่อย่างไรในบ้านเมืองก็พึงกระทำให้สำเร็จผล เพื่อความเจริญมั่นคงและความสุขร่มเย็นของประชาชนและประเทศชาติ กอปรด้วยศรัทธาในความดี เชื่อมั่นในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง ย่อมก่อให้เกิดความสุขความเจริญที่แท้จริงและยั่งยืน ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือคุ้มครองทุกท่านให้ปราศจากทุกข์โศกโรคภัย และปรารถนาสิ่งที่ดีงามตลอดศกหน้าโดยทั่วกัน (ความตอนหนึ่งจากพรพระราชทาน เนื่องในวันปีใหม่ พ.ศ. 2568 ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานเมื่อ 31 ธันวาคม 2567)...
nn เศรษฐกิจไทยปี 2568 จะดิ่งเหวตกนรก ต้องเข้าสู่สภาวะเผาจริงตามคำคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เศรษฐกิจจำนวนไม่น้อยหรือไม่ เรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่คนไทยจำนวนมากต่างเฝ้าจับตามองและเฝ้าระมัดระวังสถานการณ์การเงินการทองของตนเอง ผู้ประกอบการค้าขายจำนวนไม่น้อยบ่นกับ ธรรมกร ว่า ปี 2567 ก็นับว่าเศรษฐกิจเลวร้ายมากจนเกินจะบรรยายแล้ว ไม่อยากให้เศรษฐกิจปี 2568 เลวร้ายมากไปกว่าปีกลาย แต่ครั้นจะเอาแต่กลัวจนไม่กล้าทำมาหากินก็คงไม่ได้ เพราะอย่างไรก็ยังต้องทำมาหากินต่อไป เพียงแต่ต้องระมัดระวังการเงินการทองให้มากกว่าเดิม พร้อมกับเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้จริงจัง อย่าดีแต่โฆษณาชวนเชื่อแจกเงินแจกทองตลอดเวลา รัฐบาลต้องสร้างงานให้เป็นจริงเป็นจัง อย่าดีแต่เล่นละครตบตาประชาชนที่รู้ไม่ทันเกมการเมืองไปวันๆ แล้วรัฐบาลต้องเลิกเพ้อฝันว่าเศรษฐกิจไทยจะดี คนไทยจะมีโอกาสลืมตาอ้าปาก เพราะเศรษฐกิจไทยจะไม่มีวันดีเป็นอันขาด หากผู้นำการเมืองของไทยยังเป็นคนไร้ความสามารถในการบริหารประเทศ...
nn พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะทำหน้าที่ประธานการประชุมกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 โดยนัดหมายประชุมวันศุกร์ที่ 3 มกราคม โดยกรอบเงินงบประมาณฯ 3.78 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 8.6 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามกรอบการคลังระยะปานกลาง 2569-2572 ตามที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบไปแล้ว โดยหน่วยงานที่จะเข้าร่วมประชุมมีดังนี้ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ พิชัยตั้งเป้าว่าต้องหาทางทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโต และสร้างความเข้มแข็งให้โครงสร้างการเงินของประเทศ แต่เท่าที่ฟังความเห็นจากพิชัย ก็ยังพบว่าต้องการให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง เพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ...
nn ทางด้านผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ของไทยต่างก็ยังคงบ่นว่าขายของไม่ออก ขายของไม่ได้ แบงก์ไม่ปล่อยกู้ให้กับคนที่ต้องการซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงซึมลึกไปเรื่อยๆ และคาดว่าปี 2568 ก็ไม่น่าจะทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ดีขึ้นกว่าเดิม...
nn ธรรมกร ถามเจ้าสัวอสังหาริมทรัพย์บางรายว่าทำไมไม่ลดราคาขายลง เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้าไปซื้อให้มากขึ้น เจ้าสัวรายหนึ่งตอบกว่า ลดราคาจนไม่เหลือกำไรแล้ว ธรรมกร เลยถามต่อไปว่า ก็แล้วทำไมตอนแรกตั้งราคาขายเสียสูงลิบติดก้อนเมฆ เจ้าสัวก็ตอบว่าเพราะต้นทุนมันสูง ก็จึงต้องตั้งราคาขายสูง ธรรมกร ถามต่อว่า แล้วทำไมจึงประกาศลดราคาลงมาทีละหลายแสนจนบางทีลดเกือบล้าน แบบนี้คนซื้อก็จับไต๋ได้ว่าตั้งราคาไว้สูงเกินจริง เจ้าสัวยืนยันว่าไม่ได้ตั้งราคาสูงเกินจริง แต่ตั้งตามราคาตลาด ส่วน ธรรมกร ก็ยังไม่ลดละที่จะถามต่อไปว่า แล้วทำไมจึงประกาศลดราคาหลายแสน หรือลดเป็นล้าน แบบนี้คนซื้อก็จับได้แล้วว่าเจ้าสัวตั้งราคาขายแพงเกินจริง บทสนทนานี้จบลงด้วยเสียงหัวเราะแบบขื่นๆ แต่เจ้าสัวอสังหาริมทรัพย์ก็ยังยืนยันว่าไม่ได้ตั้งราคาขายสูงเกินจริง ธรรมกร ก็ตอบว่าแต่ผู้ต้องการมีบ้านก็ยังไม่มีปัญญาผ่อนอยู่ดีนะขอรับ เพราะเขามีเงินน้อยมาก เจ้าสัวตอบแบบอารมณ์ดีว่า เรื่องนี้รัฐบาลต้องเข้าไปแก้ปัญหาให้ได้...
nn หันไปมองฟากแบงก์ผู้ที่จะปล่อยกู้บ้าง แบงก์ตอบว่า ไม่อยากรับความเสี่ยงใดๆ จากผู้กู้ที่ไม่น่าจะมีศักยภาพมากพอ เพราะหากปล่อยกู้ไปแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่สุดท้ายกลายเป็นหนี้เน่า หนี้เสีย แบงก์ก็จะเดือดร้อน เมื่อแบงก์มีปัญหา ก็จะทำให้กลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจระดับประเทศในที่สุดดังนั้น เมื่อแบงก์ไม่มั่นใจในตัวผู้กู้ แบงก์ก็ไม่อนุมัติสินเชื่อก็เท่านั้นเอง จะมาโวยวายด่าว่าแบงก์ว่าไม่ปล่อยกู้ไม่ได้ เพราะเวลาแบงก์มีปัญหาขึ้นมา รัฐบาลจะมีปัญญาแก้ปัญหาให้แบงก์หรือเปล่า แต่ที่น่ากลัวมากกว่านั้นคือ หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นมาจริงๆ รัฐบาลจะมีปัญญาแก้วิกฤตหรือเปล่า เพราะฉะนั้น รัฐบาลไม่ควรดีแต่ชี้หน้าด่าแบงก์ว่าได้กำไร แต่ไม่ปล่อยกู้ คำถามเดิมคือ หากแบงก์เกิดปัญหาแล้วลามเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ รัฐบาลมีปัญญาแก้ปัญหาให้แบงก์ และมีปัญญาแก้วิกฤตเศรษฐกิจหรือไม่...
nn มีผู้อ่านแนวหน้าฝากมาถามว่า ทำไมภาครัฐจึงปล่อยให้เศรษฐีบางรายในเขาใหญ่จุดพลุกันสนั่นหวั่นไหวในเขตป่าเขาใหญ่ เมื่อคืนวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2568 รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เฉลิมชัย ศรีอ่อน แห่งพรรคประชาธิปัตย์ สอบถามเรื่องนี้จากข้าราชการกระทรวงทรัพย์ แล้วหรือยัง คำถามที่เน้นย้ำคือ ทำไมเศรษฐีบางรายที่มีบ้านหลังที่สองที่สามที่สี่อยู่ที่เขาใหญ่จึงกล้าจุดพลุหลายสิบลูก ทั้งๆ ที่ต้องรู้ว่าเสียงและแสงจากพลุมันทำให้สัตว์ป่าแตกตื่นตกใจ เรื่องแบบนี้น่าจะไม่ถูกกฎหมาย ทำไมจึงปล่อยให้ทำผิดกฎหมาย มีคำถามฝากมาด้วยว่า เฉลิมชัย ในฐานะเจ้ากระทรวงทรัพย์ จะชี้แจงเรื่องนี้ต่อสังคมอย่างไร...nn ส่วนบรรดาเศรษฐีที่ไร้ความคิด ไร้ความรับผิดชอบที่จุดพลุในเขตเขาใหญ่ก็ต้องสำนึกและสำเหนียกไว้ด้วยว่า การกระทำดังกล่าวคือการทำร้ายสัตว์ป่าโดยจงใจ และสร้างความไม่สงบในเขตป่า ซึ่งเรื่องนี้ส่อแสดงให้เห็นว่าแม้จะมีเงินทองมากมาย แต่กลับหาความสำนึกไม่ได้แม้แต่น้อย จึงทำให้เกิดคำถามตามมาว่ามีเงินแล้วมีสมอง มีสติปัญญา มีความรับผิดชอบต่อสังคมบ้างหรือไม่...
nn แล้วก็มีเรื่องจากคนรักหมาฝากมาบ่นถึงการจุดพลุในท้องที่ต่างๆในเขตเมืองของไทย ไม่ว่าจะในกรุงเทพฯ หรือในเขตตัวเมืองของจังหวัดต่างๆ เพราะการจุดพลุแบบไม่รับผิดชอบของคนมักง่าย โดยเฉพาะพวกขี้เหล้าเมายาที่นึกครึ้มขึ้นมาก็จุดพลุกันในชุมชน ทั้งๆ ที่เป็นการส่งเสียงดังรบกวนชาวบ้านและสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะหมาจรจัดที่มีมากมายในชุมชนต่างตื่นตกใจเมื่อได้ยินเสียงพลุ หมาจำนวนไม่น้อยวิ่งแบบไม่คิดชีวิต เพราะตกใจ แล้วสุดท้ายถูกรถยนต์ชนจนตาย หมาจำนวนไม่น้อยที่ถูกเลี้ยงไว้นอกบ้าน ตกใจเสียงพลุ หนีเตลิดจนหลงทางกลับบ้านไม่ถูก เรื่องเลวๆ แบบนี้มีเป็นประจำทุกปี แต่ก็ไม่เห็นเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะจัดการปัญหาเหล่านี้ให้ราบคาบได้สักที...
nn ปิดท้ายด้วยเรื่องทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มีสถานภาพนักโทษ แต่กลับได้รับการลดหย่อนโทษอย่างน่าอัศจรรย์ใจ คำถามที่สังคมยังติดตามคือ ทำไมทักษิณไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว แล้วทำไมทักษิณได้อภิสิทธิ์มากมายกับการเข้าไปนอนที่ชั้น 14ของโรงพยาบาลตำรวจ เป็นเวลายาวนานถึง 6 เดือน (ซึ่งเรื่องนี้ คนจำนวนมากก็ไม่เชื่อว่าทักษิณไปนอนที่ชั้น 14จริงๆ) คำถามสำคัญคือศาลตัดสินจำคุกทักษิณ แต่ทำไมกรมราชทัณฑ์ลดโทษให้ทักษิณโดยไม่คำนึงถึงคำตัดสินของศาล นั่นหมายความว่ากรมราชทัณฑ์ไม่เคารพคำตัดสินของศาล ใช่หรือไม่ หรือว่ากรมราชทัณฑ์อำนาจเหนือศาล ไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไรก็ตาม แต่กรมราชทัณฑ์มีอำนาจลดโทษให้กับอภิสิทธิ์ชนรายใดก็ได้ ตามอำเภอใจของกรมราชทัณฑ์ และตามอำเภอใจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม คำถามคือทำไมกรมราชทัณฑ์ไม่ทำตามคำตัดสินของศาล หรือว่าอำนาจของฝ่ายบริหารมีมากกว่าอำนาจของฝ่ายตุลาการ...nn
ธรรมกร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี