การพบกันของนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะประธานหมุนเวียนอาเซียนกับที่ปรึกษา ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญามาตรา 112 และอดีตนักโทษเด็ดขาดคดีคอร์รัปชั่นที่มีรายงานอย่างไม่เป็นทางการว่าประธานหมุนเวียนอาเซียนกับที่ปรึกษาพบกันในทะเลอันดามัน ซึ่งไม่ชัดเจนว่าเป็นน่านไทยหรือน่านน้ำมาเลเซีย
บางกระแสข่าวกล่าวว่า พบกันในร้านอาหารบนเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล ในน่านน้ำไทย บางรายงานกล่าวว่าพบกันในร้านอาหารบนเกาะลังกาวี ของมาเลเซีย ที่ร้ายกว่านั้น บางรายงานระบุว่า พบกันบนเรือยอชต์กลางทะเลอันดามัน ทั้งสองปรึกษาหารือกันขณะที่เรือยอชต์ลอยลำบนกระแสคลื่น
การพบปะหารือกันระหว่าง ผู้นำเป็นทางการของประเทศมาเลเซียกับจำเลยคดีอาญามาตรา 112 จึงไม่ต่างกับการพบปะหารือวางแผนร่วมกันของโจรสลัดที่ปิดบังซ่อนเร้น ไม่ให้สาธารณะรู้เห็นว่า พบกันที่ไหนหารือกันเรื่องอะไร วางแผนร่วมกันปล้นทรัพยากรของประเทศไหนหรือตกลงกันในเรื่องตั้งบ่อนกาสิโนประเทศไทยหรือธุรกิจสีเทาอะไร ก็ไม่มีใครทราบได้
แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้ คือ นายอันวาร์ ด้อยค่า หรือเรียกว่า ข้ามหัวหน่วยงานมั่นคงและระบบราชการประเทศไทยอย่างไร้มารยาททางทูต นายอันวาร์รู้ว่าผู้ที่เขาตั้งเป็นที่ปรึกษาคือ อดีตนักโทษเด็ดขาดคดีคอร์รัปชั่นและปัจจุบันเป็นจำเลยคดีอาญา มาตรา 112 ซึ่งเป็นความผิดร้ายแรงหากเขากระทำความผิดตามข้อกล่าวหาว่าจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ศาลจึงสั่งห้ามไม่ให้เดินทางออกนอกประเทศนอกจากได้รับอนุญาตจากศาล
ถึงแม้ว่า ตามกฎหมายถือว่า จำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลตัดสินว่า มีความผิด แต่อย่าลืมว่าคดีนี้ทหารในรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำเรื่องขึ้นฟ้องศาล การที่ศาลสั่งห้ามจำเลยเดินทางออกนอกประเทศแสดงว่า ศาลมีหลักฐานพอดำเนินคดี และเกรงจำเลยจะหนีเหมือนปี 2551 ดังนั้น การที่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียนัดพบกับ
จำเลยที่ศาลห้ามออกนอกประเทศ ในสถานที่ไม่ชัดเจนว่าในน่านน้ำไทย หรือต่างประเทศแสดงว่า ทั้งสองสมคบกันละเมิด หรือหลีกเลี่ยงอำนาจศาล
การพบกันระหว่างนายอันวาร์กับจำเลยคดีอาญา มาตรา 112 นอกจากเสี่ยงต่อละเมิดอำนาจศาลไทยแล้ว ผู้ที่พบกันยังด้อยค่าระบบราชการไทย ที่เลวร้าย คือ ด้อยค่า
หน่วยงานมั่นคงของไทย ในการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนใต้ และชายแดนตะวันตกติดกับเมียนมา
ดังที่นายอันวาร์ โพสต์บนเฟซบุ๊กว่า
...“รู้สึกยินดีที่ได้พบอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย และเพื่อนรักอย่าง ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อหารือกันอย่างน่าสนใจ ครอบคลุมและมีประโยชน์ รวมทั้งในฐานะที่ปรึกษาไม่เป็นทางการของมาเลเซีย ในการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียน
การสนทนามุ่งเน้นประเด็นสำคัญในภูมิภาค ได้แก่ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ การส่งเสริมสันติภาพในภาคใต้ของไทย และการแก้ไขวิกฤตเมียนมา
เครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ในภูมิภาคของคุณทักษิณ ประกอบกับความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของเขา ได้ให้คำมั่นว่า
จะเปิดโอกาสอันล้ำค่าสำหรับมาเลเซียและอาเซียนเพื่อรับมือกับความท้าทาย ด้วยความมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น....ฯลฯ
ข้อความของนายอันวาร์ที่ว่า #การสนทนามุ่งเน้นประเด็นสำคัญในภูมิภาค ได้แก่ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีใหม่ๆ #การส่งเสริมสันติภาพในภาคใต้ของไทย และการแก้ไขวิกฤตเมียนมา แสดงว่านายอันวาร์ข้ามหัวทางการและระบบราชการไทยทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ว่า #ส่งเสริมสันติภาพในภาคใต้ของไทยและการแก้ไขวิกฤตเมียนมา
จากความจริงที่ว่า หน่วยงานมั่นคงของไทยได้ดำเนินงานในทางลับหรือเรียกว่าการทูตเงียบเพื่อส่งเสริมสันติภาพในภาคใต้ของไทยและการแก้ไขวิกฤตเมียนมาตลอดมา การ “ทูตเงียบ” ของไทย (Quiet Diplomacy) ที่มีหน่วยงานมั่นคงไทย ทั้งสภาความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพบูรณาการทำงานร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านจัดการให้มีการเจรจากับกลุ่มก่อความไม่สงบ และกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นปัญหาความรุนแรงจังหวัดชายแดนใต้ หรือวิกฤตการเมืองเมียนมา หน่วยงานมั่นคงไทยใช้การทูตเงียบประสานกับทุกฝ่ายที่มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดมา
ดังนั้นเมื่อนายอันวาร์ในฐานะประธานหมุนเวียนอาเซียน ได้พบปะหารือกับจำเลยคดีอาญา มาตรา 112 และมอบหมายภารกิจให้ผู้ที่เขาตั้งเป็นที่ปรึกษาแก้ปัญหาชายแดนใต้และวิกฤตการเมืองการเมืองในเมียนมา เท่ากับนายอันวาร์ข้ามหัวหน่วยงานมั่นคง และทำลายประเพณีการทูตเงียบของไทยในเวลาเดียวกัน เนื่องจากว่าผู้ที่นายอันวาร์ตั้งให้เป็นที่ปรึกษา มักซ่าเกินเบอร์ ชอบวางก้ามเอะอะโวยวายใช้น้ำลายแก้ปัญหา ยกตัวอย่างกับประเทศเมียนมา คนที่นายอันวาร์มอบหมายให้แก้ปัญหากร่างถึงกับขู่ว่าจะส่งกำลังเข้าปราบแก๊งสแกมเมอร์หรือคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเมียนมาทั้งๆ ที่เขาไม่มีหน้าที่ไม่มีกำลังคนใต้บัญชา ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย นอกจากน้ำลายที่ไร้สาระ
กรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา กัมพูชา ลาว และประเทศไทย ทางการจีนร่วมกับทางการประเทศเหล่านั้น ปราบปรามคนจีนด้วยกันมากว่าสามปี จับจีนสีเทา นำกลับไปดำเนินคดีในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่กว่า 2.5 แสนคนในห้วงเวลาสามปี ปัจจุบันยังปราบไม่หมด แล้วคนที่นายอันวาร์ตั้งเป็นที่ปรึกษามีน้ำยาอะไร ที่กร่างว่า จะส่งคนไปปราบถึงในเมียนมาและกัมพูชา นายอันวาร์ไม่ลองถามดูหรือว่า ในประเทศไทยที่ปรึกษานายอันวาร์ปราบคอลเซ็นเตอร์ได้ไหม? กลางเดือนธันวาคม ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จับซิมการ์ดเถื่อน 300,000 เบอร์ นายอันวาร์ลองถามที่ปรึกษาดูสิว่าซิมการ์ดเถื่อนสามแสนเบอร์ซื้อมาจากบริษัทมือถือค่ายไหน
นายอันวาร์ ในฐานะประธานหมุนเวียนอาเซียนคิดดูสิว่า เมียนมารู้สึกอย่างไร เมื่อที่ปรึกษาประธานอาเซียนขู่จะส่งคนเข้าไปปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศอาเซียนด้วยกัน เช่น กัมพูชา และเมียนมา
นายอันวาร์รู้สึกอย่างไร หากวันหนึ่งที่ปรึกษาอาเซียนของนายอันวาร์ ขู่จะส่งกำลังคนเข้าลากคอประธานและหน่วยปฏิบัติการ “บีอาร์เอ็น” ออกมาจากที่ซ่อนตัวในรัฐกลันตันตรังกานู ลังกาวี และ รัฐเคดะห์ นายอันวาร์จะบอกกับพรรค PAS และ ชาวมาเลเซียอย่างไร
เรื่องความร่วมมือฟื้นฟูเศรษฐกิจ และพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน หากนายอันวาร์จริงใจ ทำไมไม่ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีความชำนาญในสาขาเหล่านั้น มาเจรจากับเจ้าหน้าที่ และรัฐบาลไทยเป็นการเป็นงานทำไมต้องไปสุมหัวพูดกับคนไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายในทะเลอันดามัน
ส่วนเรื่องแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองในเมียนมานายอันวาร์เคยพูดว่า หัวใจสำคัญของการแก้ปัญหา คือความสามัคคีกลมเกลียว เป็นน้ำหนึ่งใจกันของชาติสมาชิกอาเซียน
แต่ดูจากท่าทีของที่ปรึกษาประธานหมุนเวียนอาเซียนแล้ว บอกได้คำเดียวว่าปี 2025 อาเซียนประสานงามากกว่าประสานงาน เพราะนอกจากที่ปรึกษาประธานอาเซียนกร่าง ใส่เพื่อนบ้านแล้ว สิงคโปร์เพื่อนบ้านมีรั้วติดกับนายอันวาร์ ประกาศกร้าวว่าปี 2025 จะใช้ไม้แข็งเมียนมากดดันกีดกันทุกทาง ไม่ให้มีการเลือกตั้งจนกว่ารัฐบาลทหารเมียนมาจะปล่อยตัวนางออง ซาน ซู จี
ดร.วิเวียน บาลากริชนัน รัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์ โพสต์เฟซบุ๊กในวันที่มาร่วมประชุมนอกรอบในกรอบอาเซียนที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคมว่า...“เกือบสี่ปีหลังจากยึดอำนาจสถานการณ์ในเมียนมายังเลวร้าย โดยเฉพาะการปราบปรามพลเรือนอย่างโหดร้าย ออง ซาน ซู จี ยังอยู่ในที่คุมขัง..ผมเรียกร้องให้ปล่อยตัว ออง ซาน ซู จี ในทันที หยุดปราบปรามพลเรือนในทันที”
ดร.วิเวียน โพสต์เหมือนท้าทายประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับเมียนมา ไม่ว่าจะเป็น จีน อินเดีย บังกลาเทศ ลาว และประเทศไทย ที่มีความเห็นพ้องจอง
กันหนึ่งวันก่อนหน้า ดร.วิเวียนโพสต์ข้อความกร้าวว่า เมียนมาถึงเวลาเลือกตั้งปี 2025 เพื่อให้รัฐบาลประชาธิปไตยแก้ปัญหาความขัดแย้งตามแบบฉบับเมียนมา
จีนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกันช่วยเหลือเตรียมการให้รัฐบาลทหารเมียนมาจัดให้มีเลือกตั้งปี 2025 สปป.ลาว และประเทศไทยสนับสนุนให้มีการเลือกตั้ง
ในขณะที่ประเทศอาเซียนไกลออกไปไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ กล่าวว่า การเลือกตั้งท่ามกลางสงครามทำไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วนายอันวาร์กับที่ปรึกษาจอมกร่างจะสร้างความกลมเกลียว ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในประเด็นปัญหาวิกฤตการเมืองเมียนมาได้อย่างไร
ที่ปรึกษานายอันวาร์แค่ปัญหาเรือประมงไทยล่ำน่านน้ำเมียนมายังไม่สามารถช่วยเหลือลูกเรือไทยได้ปล่อยให้ลูกเรือไทยติดคุกเมียนมาโดยไม่รู้ว่าจะได้เป็นอิสระเมื่อไหร่ เป็นอย่างนี้แล้วนายอันวาร์ยังคิดว่าที่ปรึกษาจะสร้างความกลมเกลียวในชาติอาเซียนได้ฤา
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี