การเมืองแบบการตลาดนำ คือการเมืองที่เต็มไปด้วยสีสันบันเทิง ซึ่งเต็มไปด้วย Drama แต่หาสาระได้น้อยมาก จนเกือบจะไร้สาระ แต่ทว่ากลับได้รับความนิยมจากผู้คนที่ชอบสีสันมากกว่าสาระ การเมืองแบบมวยปล้ำเกิดได้ทั้งในประเทศด้อยพัฒนา แต่ก็สามารถเกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ
ก่อนอื่นต้องถามว่า มวยปล้ำเป็นการต่อสู้กันอย่างจริงจังหรือไม่ ตอบว่าไม่ใช่ แต่ถามว่าเป็นเกมการต่อสู้กันหรือไม่ ตอบว่าก็ใช่ แต่ต้องย้ำว่ามันไม่ใช่การต่อสู้แบบจริงจัง เพราะมันคือการแสดงการต่อสู้หากเป็นการต่อสู้จริงๆ แล้ว มีหวังว่าคู่ต่อสู้รายใดรายหนึ่งต้องคอหักหรือกระดูกหัก จนต้องตายไปแล้ว แต่ในความจริง คนชมมวยปล้ำก็เห็นๆ อยู่ว่ามันคือการแสดง แต่ก็สนุกไปกับการดูมวยปล้ำ แถมยังลุ้นไปตลอดเวลาที่ดู
การเมืองไทยโดยนักการเมืองที่นำการตลาดมาใช้หาเสียง ก็ไม่ต่างจากเกมมวยปล้ำ เพราะไม่ได้ทำการเมืองแบบจริงจัง แต่เล่นเกมการเมืองตลอด ส่วนการเมืองอเมริกันสไตล์โดนัลด์ ทรัมป์ ก็คือการเมืองแบบมวยปล้ำที่แท้จริง เพราะเล่นการเมืองเพื่อให้เป็นข่าวใหญ่ไว้ก่อน ส่วนจะเป็นจริงหรือไม่นั้น เป็นประเด็นรองลงไป เพราะคนเล่นการเมืองแบบมวยปล้ำนั้นต้องการสร้างข่าว และทำตัวให้ตกเป็นข่าวใหญ่ไว้ตลอดเวลา โดยไม่สนใจว่าเมื่อพูดไปแล้วจะทำได้จริงหรือไม่ แต่สนใจเพียงว่าตนเองกลายเป็นข่าวใหญ่หรือไม่เท่านั้น เพราะการตกเป็นข่าวใหญ่ ถือว่าได้ครอบครองพื้นที่หน้าข่าวไปแล้ว
มีคำถามตามมาว่า ระหว่างการเมืองแบบไทยโดยทักษิณ ชินวัตร กับการเมืองแบบอเมริกัน ยุคโดนัลด์ ทรัมป์ ถือเป็นการเมืองแบบมวยปล้ำ หรือไม่ก็สามารถตอบได้ว่า นับเป็นการเมืองแบบมวยปล้ำได้เพราะทั้งทรัมป์และทักษิณต่างก็ชอบการทำตัวให้ตกเป็นข่าวทั้งคู่ ส่วนเมื่อเป็นข่าวแล้ว สามารถทำให้เป็นเรื่องจริงได้หรือไม่ นั่นเป็นเรื่องที่ต้องตามดูกันต่อไป แต่หลายต่อหลายครั้งเรื่องที่ถูกจงใจทำให้เป็นข่าวก็ไม่เคยเกิดเป็นความจริง
การเมืองแบบมวยปล้ำคือการเมืองที่เน้นการแสดง ซึ่งมวยปล้ำนับว่าเป็น Sport Entertainment ส่วนการเมืองแบบมวยปล้ำก็คือการเมืองที่เน้น Drama และเป็นรูปแบบของ Politics Entertainment ซึ่งทั้งสองชนิดเน้นทักษะการแสดงไม่ต่างกัน
ในเชิงการเมือง เราพบว่าหลายประเทศนั้น นักการเมืองมีแต่ความสับปลับกลับกลอก จนดูแล้วเสมือนว่าการเมืองล้มเหลว เน่าเฟะ การเมืองจำพวกนี้มีปัญหามากมาย ปัญหาเกือบทุกอย่างไม่ถูกแก้ไข หรือถูกกำจัดไป แต่ปัญหาหมักหมมอยู่ตลอดเวลา ส่วนรัฐบาลก็พยายามจะอ้างว่าแก้ปัญหา อ้างว่าทำงาน ทำงาน ทำงาน แต่จริงๆ แล้วไม่ได้แก้ปัญหา หรือแก้ไม่ได้ หรือไม่พยายามแก้ แต่ที่หนักกว่านั้นคือกลับสร้างปัญหาตลอดเวลา แต่ปากก็พล่ามโฆษณาชวนเชื่อว่าพยายามแก้ปัญหาอย่างจริงจัง และแก้ปัญหาได้แล้ว ทั้งๆ ที่ไม่ได้แก้ปัญหาใดๆ แม้แต่น้อย
ในเชิงรัฐศาสตร์วิเคราะห์ว่าการเมืองมวยปล้ำคือการเมืองที่ล้มเหลว เกิดในสังคมที่ล้มเหลว มีปัญหาการเมืองมากมาย ผู้คนเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะสังคมเต็มไปด้วยปัญหาที่หมักหมมมายาวนาน ดังตัวอย่างการเมืองในเม็กซิโก สมัยประธานาธิบดีโฆเซ เด ลา กรุซ ปอร์ฟิริโอ ดิอัซ โมริ ที่บ้านเมืองมีปัญหาการเข่นฆ่าประชาชนอย่างรุนแรงเกือบตลอดเวลา จนในที่สุดประชาชนทนไม่ได้ต้องลุกขึ้นมาประท้วงรัฐบาลที่ไม่เป็นธรรมด้วยการลุกขึ้นต่อสู้ทางการเมืองเพื่อแสวงหาอิสรภาพการเมือง
หากจะกล่าวถึงกำเนิดของมวยปล้ำแล้ว ต้องย้อนกลับไปดูในญี่ปุ่น แล้วต้องย้อนไปดูริกิโดซัง นักมวยปล้ำที่มีเชื้อสายเกาหลี แต่สร้างมวยปล้ำให้โด่งดังในญี่ปุ่น มีผู้กล่าวว่าริกิโดซัง คือนักมวยปล้ำที่อยู่ในฝ่ายธรรมะ เขามีส่วนสร้างภาพที่สำคัญคือช่วยฟื้นฟูความมั่นใจให้คนญี่ปุ่น ในยุคช่วงหลังการพ่ายแพ้สงครามโลก ครั้งที่ 2 ซึ่งญี่ปุ่นแพ้สหรัฐฯ อย่างย่อยยับ การที่ริกิโดซังแสดงมวยปล้ำแล้วเอาชนะนักมวยปล้ำฝรั่งตะวันตกได้ ก็คือการสร้างภาพว่าญี่ปุ่นมีชัยชนะเหนือสหรัฐฯ ด้วยความสามารถ โดยใช้ท่าคาราเต้ช็อป คือท่าการต่อสู้ป้องกันตัวของคนญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม ต้องย้ำความจริงคือ ญี่ปุ่นแพ้สหรัฐฯ อย่างหมดรูปในสงครามโลก ครั้งที่ 2
และต้องกล่าวด้วยว่า ริกิโดซัง คือคนที่น่าจะมีชีวิตที่ค่อนข้างติดลบ เพราะเขาต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน แล้วไปอาศัยในฮาวาย โดยมีสถานะเป็นเสมือนคนชั้นล่างของสังคม ที่ชีวิตต้องเจอแต่ความขมขื่นไม่ได้รับการเหลียวแลจากคนรอบข้าง จนเขาต้องสร้างเรื่องมวยปล้ำขึ้นมาเพื่อชดเชยส่วนที่ขาดไปของชีวิต อันที่จริงเรื่องนี้สะท้อนมากกว่าแค่ชีวิตของริกิโดซัง แต่มันสะท้อนเรื่องราวระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ ในยุคหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 ด้วย ทุกคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคแพ้สงครามโลก ครั้งที่ 2 ต่างรู้ดีว่าญี่ปุ่นขมขื่นมาก จนต้องสร้างวีรบุรุษที่เป็นมนุษย์ชนิดพิเศษขึ้นมาปลอบประโลมใจตัวเองมากมายหลายตัวละคร เช่น หน้ากากเสือ ไอ้มดแดง กาโม่ เป็นต้น
คนดูมวยปล้ำต้องเชื่อว่ามันคือการต่อสู้ที่จริงๆ จังๆ ที่มีสีสันและความสนุกสนานดูเสมือนสมจริง แต่มันคือการแสดงที่ไม่ใช่ความจริง แต่ต้องย้ำว่ามันเร้าใจมาก ดูแล้วเคลิ้มด้วย
กลับไปที่การเมืองแบบมวยปล้ำตามสไตล์ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ เรื่องนี้ถูกมองว่าเป็นการเมืองที่เต็มไปด้วยภาพมายา เต็มไปด้วยสีสัน แต่ไม่มีใครแน่ใจว่าทรัมป์
จะทำจริงตามที่พล่ามหรือไม่ แต่คนที่รู้จักทรัมป์ดีต่างบอกตรงกันว่าเขาคือพ่อค้าที่รับบทประธานาธิบดี แล้วเขาก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองเป็นข่าว ครอบครองพื้นที่ข่าวให้ได้ก่อนใคร ส่วนทำได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญของทรัมป์ เพราะทรัมป์ต้องการแค่เพียงเป็นข่าวไว้ก่อนเท่านั้น
อันที่จริงสหรัฐฯ ก็สร้างภาพเก่งไม่แพ้ญี่ปุ่น แต่เพียงแค่สหรัฐฯ เป็นผู้มีชัยชนะเหนือญี่ปุ่นในสงครามโลก ครั้งที่ 2 แต่สหรัฐฯ ก็พยายามสร้างภาพว่าตนเองเป็นผู้รักษาสันติภาพโลก เป็นตำรวจโลก แต่ครั้นมาถึงยุคทรัมป์ เขากลับบอกว่าสหรัฐฯ จะต้องมาก่อนใครๆ ในโลกใบนี้ แล้วเขาก็บอกว่าสหรัฐฯ จะไม่แบกรับอะไรอีกต่อไป แต่สหรัฐฯ ต้องเป็นที่หนึ่ง ต้องมาก่อนใครๆ ด้วยคำโฆษณาชวนเชื่อ America First
คนที่ติดตามความประหลาดของทรัมป์จะพบเสมอๆ ว่าเขาประหลาดและพิสดารมาก ยิ่งมาล่าสุดเขาแสดงความพิสดารมากกว่าเดิมหลายเท่า โดยประกาศจะไปครอบครองคลองปานามา จะไปครอบครองกรีนแลนด์ จะไปครอบครองแคนาดา และจะดึงเอาการผลิตทั้งหมดกลับไปสหรัฐฯ
หลายคนที่รู้จักทรัมป์ดีต่างหัวเราะ แล้วบอกว่านี่คือบทนักมวยปล้ำทางการเมือง เพราะมันเป็นแค่การแสดง แต่มันไม่ใช่ความจริง
คนดูมวยปล้ำที่คิดว่ามันคือการต่อสู้จริงๆ ย่อมตกเป็นเหยื่อของนักแสดงมวยปล้ำ แต่คนดูมวยปล้ำที่เข้าใจว่ามันคือการแสดง จะดูแล้วสนุก แต่ก็ไม่หลงเชื่อว่ามันคือการต่อสู้
ขอย้ำว่ามวยปล้ำต่างจากมวยคาดเชือกที่ชก เตะ ต่อย ตีเข่า ตีศอก เตะก้านคอกันจริงๆ คนดูมวยปล้ำต้องไม่หลงเชื่อว่านักมวยปล้ำคือนักต่อสู้ หากคนดูยังหลง ก็ช่วยไม่ได้ที่จะถูกนักการเมืองแบบทรัมป์หลอกไปเรื่อยๆ
อันที่จริงก็ต้องบอกว่าทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ต่างไปจากทรัมป์สักเท่าไร เพราะทักษิณก็คือคนแสดงบทนักมวยปล้ำเช่นกัน หลายคนที่มีสติปัญญาจะรู้ได้ทันทีว่าทักษิณไม่ใช่นักมวยคาดเชือก แต่เขาคือนักแสดงมวยปล้ำอีกคนหนึ่งในเวทีการเมืองไทย
นักมวยปล้ำกับนักการเมืองที่เน้นการตลาดนำไม่ต่างกันเลย เพราะทั้งคู่ Drama เก่งไม่แพ้กันโดยเฉพาะสร้างภาพเก่งมาก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี