ตามทฤษฎีใหม่เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 นั้น หัวใจสำคัญก็เพื่อต้องการให้ชาติบ้านเมืองแข็งแกร่ง ประชาชนคนไทยสามารถดำรงชีวิตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ท่ามกลางกระแสแห่งการเปลี่ยนในทุกมิติ ภายใต้ภูมิรัฐศาสตร์โลก ทั้งด้างเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
รัฐบาล“แพทองโพย”ที่มีอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ชักใยในฐานะนายกรัฐมนตรีทับซ้อน ชุดนี้ กำลังพาประเทศชาติไปสู่ความเสี่ยง อันอาจจะทำให้เกิดความวิบัติฉิบหาย ไม่ใช่เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชน แต่เป็นความร่ำรวยของกลุ่มคนเพียงหยิบมือเดียว ที่เป็นทุนใหญ่ และนักธุรกิจการเมืองที่มีพรรคการเมืองของตนเข้าไปยึดกุมอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน
ไม่ว่าจะ“แพทองโพย”นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด หรืออดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ผู้ชักใย ไปเปิดปากพูดที่ไหน ก็คือ“ความร่ำรวย”และความอยู่ดีกินดีอย่างฟุ่มเฟือยที่ไม่รู้จักประมาณตน ยึดถือเงินตราเป็นสรณะ ด้วยการ“ลด-แลก-แจก-แถม”
เรื่อง “เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ที่ร่างกฎหมายเพิ่งผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมานั้น เป็นตัวชี้วัดได้อย่างดี เพราะแทนที่จะแก้ปัญหาเรื่องบ่อนเรื่องการพนันที่ผิดกฎหมาย ด้วยการปราบปรามอย่างจริงจัง และดำเนินการเข้มงวดกวดขันกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง กลับจะนำขึ้นมาบนดินเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย
นั้นก็เพื่อเป้าหมายจะเข้าไปกอบโกยผลประโยชน์ ทั้งจากคนต้นคิด และพวกพ้อง รวมทั้งวงศ์วานว่านเครือ ซึ่งก็คือทุนใหญ่และนักธุรกิจการเมืองที่เป็นเจ้าของพรรคการเมือง ที่จะแบ่งปันและจัดสรรประโยชน์กันเองเท่านั้น หาใช่เรื่องอื่นใดไม่
หากย้อนกลับไปดูเบื้องหลังก่อนหน้านี้ ซึ่งสื่อหลายสำนักเคยเสนอข่าวเกี่ยวกับนโยบาย“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”ของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่สมัยรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ปรากฏว่ามีทุนใหญ่ทั้งไทยและต่างประเทศสนใจที่จะเข้ามาลงทุน โดยได้“แบ่งเค้ก”กันเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ “มติชนออนไลน์”เคยรายงานไว้จากการเผยแพร่ข่าวเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 โดยโปรยหัวว่า “เช็กเลย!! เคาะแล้ว 5 พิกัด เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ทุนไหนบ้าง พร้อมร่วมชิงเค้ก” ซึ่งมีรายละเอียดตามนี้
สนามม้านางเลิ้ง หรือ ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ประกาศร่วมกับบริษัท รอยัล สปอร์ต คอมเพล็กซ์ จำกัด หรือ RSC และ 4 พันธมิตรต่างชาติ อย่างเกาหลี เล็งใช้พื้นที่ หนองจอก 3 ไร่
บริษัท สยามพาร์คซิตี้ (สวนสยามเดิม) สนใจลงทุนด้วยวงเงิน 1 แสนล้านบาท บนเนื้อที่ 500 ไร่ ย่านมีนบุรี โดยหาพันธมิตรทั้งไทยและต่างชาติ ร่วมลงทุน เช่น กลุ่มลาสเวกัส ฝรั่งเศส
บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA ร่วมทุนระหว่าง บมจ.การบินกรุงเทพ (BA) บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BTS) และ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) ผู้รับสัมปทานพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก 6.5 พันไร่
“ศุภลักษณ์ อัมพุช” แห่ง เดอะมอลล์ ที่มักออกมาแสดงความเห็นซัพพอร์ทโครงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ทำให้แสงจับถึง แบงค็อกมอลล์ ย่านบางนา 100 ไร่
พราว กรุ๊ป ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงท่องเที่ยว บริหารธุรกิจโรงแรม สวนสนุก และสวนน้ำ โดย“พสุ ลิปตพัลลภ” ออกมาระบุสนใจ แต่ยังรอความชัดเจนจากภาครัฐ และต้องรวมกับหลายพาร์ทเนอร์
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มทุนต่างชาติ ที่ปรากฏความเคลื่อนไหวออกมา อย่าง บริษัท เอ็มจีเอ็ม รีสอร์ท อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้งส์ , กาแลกซี่ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ , แซนด์ส ไชน่า, วินน์ มาเก๊า และ กลุ่ม Las Vegas Sands Corporation
หากตามไปดูต่อก็จะพบว่า “พราว กรุ๊ป” เป็นกลุ่มบริษัทของ“ตระกูลลิปตพัลลภ” สำหรับ“พสุ ลิปตพัลลภ”นั้นเป็นทายาทของ“สุวัจน์ ลิปตพัลลภ”ประธานพรรคชาติพัฒนา ที่มีสัมพันธ์แนบแน่นกับ“ทักษิณ ชินวัตร” ซึ่งในปัจจุบันนี้“พสุ”เป็นผู้บริหารโรงแรม“อินเตอร์คอนติเนนตัล ภูเก็ต รีสอร์ท” อันเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่บนหาดกมลา อำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต ด้านหน้าติดทะเลและด้านหลังติดภูเขา
และเมื่อย้อนไปดูก่อนหน้านี้ไม่นาน หลังจากที่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ได้รับการพักโทษในเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ก็ได้เดินทางไปจังหวัดภูเก็ตในช่วงปลายเดือนเมษายน 2567 โดยมีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ร่วมขบวนด้วย เป็นการเดินทางที่ผู้คนตั้งข้อสังเกตว่าทักษิณมี“อะไร”ที่ภูเก็ต
ยิ่งนำภาพมาต่อกันก็จะเห็นว่า ทำไมจังหวัดภูเก็ตจึง“เนื้อหอม” ตั้งแต่สมัย“เศรษฐา ทวีสิน”เป็นนายกรัฐมนตรีก็เดินทางไปบ่อย และเมื่อสัปดาห์ก่อน “มาดามแพทองโพย”ก็เพิ่งจะไปเป็นประธานการประชุมบูรณาการการแก้ปัญหาพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อรองรับการเติบโตของการท่องเที่ยว และเป็นการเดินทางหลังจากที่บิดาคือ“ทักษิณ ชินวัตร”ไปพบกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย บนเรือยอร์ชกลางทะเลบริเวณใกล้เคียงกับเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล และเกาะลังกาวี ของมาเลเซีย ก่อนจะมาขึ้นบกที่จังหวัดภูเก็ต
ไม่เพียงแต่เท่านั้น เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันเดียวกับที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ “ทักษิณ ชินวัตร”ก็ได้ไปพูดในงานดินเนอร์ทอล์ค ภายใต้หัวข้อ“Chat with Tony : Bull Rally of Thai Capital Market” ที่จัดโดยหนังสือพิมพ์ข่าวหุ้น ณ โรงแรมดุสิตธานี โดยทักษิณได้พูดเหมือนกับเป็นนายกรัฐมนตรีว่า รัฐบาลเตรียมจะทำ“แซนด์บ็อกซ์” อาจจะเริ่มต้นที่ภูเก็ตโดยการรับบิทคอยน์ เป็นรูปแบบการจ่ายเงินอีกแบบหนึ่ง ที่จัดการโดยรัฐบาล
ถ้าเป็น“มาดามแพทองโพย” ก็ต้องว่า “อ๋อ !” ภูเก็ตจะเป็นพื้นที่สำหรับตั้งเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็น 1 ใน 5 แห่งที่รัฐบาลทับซ้อนชุดนี้กำหนดไว้แล้ว รอเพียงแค่กฎหมายที่จะคลอดออกมามีผลบังคับใช้เท่านั้น ส่วนอีก 4 แห่งก็คือ กรุงเทพฯ 2 แห่ง, พัทยา 1 แห่ง และเชียงใหม่อีก 1 แห่ง โดยที่ข่าวลึกแต่ไม่ลับรู้กันแล้วว่า 4 ใน 5 แห่งนี้ได้มีการแบ่งเค้กกันเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ที่ว่าทั้งหมดนั้น ขัดกับ“ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง”ของในหลวงรัชกาลที่ 9 อันเป็นแนวทางที่ทรงวางรากฐานไว้ เพื่อเป็นภูมิคุ้มกัน สำหรับเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ในอนาคต
อย่างน้อยก็สองข้อ คือ “ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้อง-ซื่อสัตย์สุจริต” และ “ปฏิบัติตนในแนวทางที่ดี ลดละสิ่งชั่ว ประพฤติตนตามหลักศาสนา” !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี