เวลานี้นักการเมืองที่เรียกว่า สส.และมักอ้างประชาชนบังหน้ากำลังสมคิดกันที่จะขึงพืดประเทศไทย ด้วยการทำบ่อนกาสิโนและการพนันออนไลน์ที่ผิดกฎหมาย ให้เป็นเรื่องถูกกฎหมาย
นั่นก็คือ การออกกฎหมายการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร หรือ“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”ซึ่งคณะรัฐมนตรี“แพทองโพย”ร่างทรงของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตรได้มีมติเห็นชอบอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมาโดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปปรับแก้ถ้อยความแล้วเสนอกลับมายังคณะรัฐมนตรีอีกครั้งก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎร
อีกเรื่องหนึ่งก็เป็นผลมาจากมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้เช่นกันคือให้กระทรวงกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี), กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันพิจารณาเพื่อนำการพนันออนไลน์ใต้ดินที่ผิดกฎหมายให้ขึ้นมาอยู่บนดินแบบถูกกฎหมาย ซึ่งนายนายประเสริฐ จันทรรวงทองรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ดีอี ที่เป็นเจ้าภาพเรื่องนี้คาดการณ์ว่าภายใน 1 เดือนจะสามารถทำรายละเอียดแล้วเสร็จ
ประชาชนคนไทยที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ซึ่งถือว่าการพนันเป็น“อบายมุข”และเชื่อว่าจะส่งผลเสียหาย มากกว่าประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น คงมิอาจพึ่งพาสส.ฝ่ายรัฐบาล และ สส.ฝ่ายค้าน ที่อ้างว่ามาจากประชาชนได้เพราะนักการเมืองเหล่านี้ค่อนข้างจะเห็นพ้องต้องกัน จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะต้องลุกขึ้นมาส่งเสียงคัดค้านเพื่อพิทักษ์ความถูกต้อง
เรื่อง“อบายมุข”นี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระสูตร ว่าด้วย“สิงคาลกสูตร”อันเป็นพระสูตรหนึ่งในพระสุตตันตปิฎก-หมวดทีฆนิกาย เกี่ยวกับ“อบายมุข”ไว้หมายถึงทางแห่งความเสื่อม และความพินาศ อันเป็นเหตุย่อยยับแห่งโภคทรัพย์
กล่าวคือ ผู้ที่หมกมุ่นในอบายมุข นั้นล้วนแต่เป็นการใช้เวลาในชีวิตและเงินทองที่มีจำกัดอย่างไม่รู้คุณค่าซึ่งเปล่าประโยชน์และเกิดโทษและหมายรวมถึงการใช้เวลาชีวิตและเงินทองไปเล่นการพนันตลอดจนการใช้เวลาชีวิตและเงินทองไปคบหาสมาคมกับคนชั่ว เป็นต้น
และตามความเป็นจริงที่มีอยู่ปัจจุบันนี้ฟังจากเสียงคัดค้านของภาคประชาชนองค์กรต่างๆที่ลุกขึ้นมาส่งเสียง“เราไม่เอากาสิโน” ล้วนเห็นว่าปัญหาใหญ่ของประเทศที่มีกาสิโนถูกกฎหมายทั่วโลก คือความข้องเกี่ยวกับขบวนการอาชญากรรม และการถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงินซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากการทุจริตคอร์รัปชัน
ถามว่าใครล่ะ ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการอาชญากรรมที่มีสาเหตุสำคัญมาจากการทุจริตคอร์รัปชัน ก็คงหนีไม่พ้น“เจ้าพ่อ-นักการเมือง-ข้าราชการประจำ” ซึ่งร่างกฎหมาย“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”และการพนันออนไลน์ใต้ดินที่ผิดกฎหมายที่รัฐบาลชุดนี้กำลังจะเนรมิตให้ถูกกฎหมายนี่แหละ คือที่หลอมรวมของ“วงจรอุบาทว์”อันเรียกว่า“ขบวนการอาชญากรรม”
“มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน” ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลที่ไม่แสวงหาผลกำไรมุ่งเน้นรณรงค์สร้างกระแสความตื่นตัวทางสังคม โดยมีนายจะเด็จ เชาวน์วิไลเป็นประธานมูลนิธิ และมีนายธนกร คมกฤส เป็นเลขาธิการมูลนิธิที่เป็นอีกหนึ่งองค์กรซึ่งไม่“เอากาสิโน” ระบุว่า“กาสิโนไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนเรียกร้องต้องการแต่เป็นความต้องการของผู้คุมอำนาจทางการเมืองและอำนาจทุนและกำลังพยายามจะใช้อำนาจมากลากไปเพื่อให้เปิดกาสิโนได้ตามอำเภอใจ”
พร้อมกันนี้“มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน”ยังชี้ด้วยว่าในร่างกฎหมาย“เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์”ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมานั้น จะมีการตั้ง“สำนักงานกำกับการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร” ขึ้นมาซึ่งสำนักงานนี้จะมีรายได้มาจากหลายทางโดยเฉพาะค่าธรรมเนียมการขอใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต และอื่นๆซึ่งเป็นหลักพันล้านในแต่ละปี โดยมีบทบัญญัติว่า “เงินและทรัพย์สินของสำนักงานเมื่อได้หักค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมต่างๆ แล้วเหลือเท่าใดให้สำนักงานนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน”
ตรงจุดนี้“มูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน”มองว่า การเปิดช่องไว้เช่นนี้อาจทำให้สำนักงานที่ตั้งใหม่นี้กลายเป็นช่องทางให้เกิดการนำเงินที่รัฐควรได้จากกิจการสถานบันเทิงครบวงจรมาใช้จ่ายเพื่อตอบสนองนโยบายของฝ่ายการเมืองได้ คล้ายๆ กับกรณี“หวยบนดิน”ที่ไม่ได้นำรายได้ส่งเข้าแผ่นดินกลายเป็นตู้เอทีเอ็มให้“นายใหญ่”สามารถกดเงินนำมาใช้ดำเนินงานทางการเมืองได้อย่างสบายมือ
พูดให้ชัดก็คือ คล้ายกับเรื่อง“หวยบนดิน” ซึ่งในปี 2562 “ทักษิณ ชินวัตร”ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก2 ปี ไม่รอลงอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์เบียดบังเอาเงินของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลไปโดยทุจริต
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ระบุว่า ระหว่างที่“ทักษิณชินวัตร”ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เร่งรัดให้มีการออกสลากพิเศษหวยบนดินในปี 2546-2549ซึ่งแม้จะมีการทักท้วงว่าการออกสลากดังกล่าวขัดต่อกฎหมายแต่ในฐานะนายกรัฐมนตรีกลับไม่ได้มีการยับยั้งเป็นผลให้กระทรวงการคลังได้รับความเสียหายต้องสูญเสียรายได้ค่าภาษีอากรรวมเป็นเงิน 2.49 หมื่นล้านบาท (24,998,246,058.56 บาท)
ทั้งนี้ จากคำพิพากษาดังกล่าวของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ชี้ว่าการใช้จ่ายเงินจากการทำ“หวยบนดิน”ไม่ปรากฏว่าได้รับการตรวจรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินในทุกกรณีทั้งมิได้ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบราชการในทุกขั้นตอน แม้หักค่าใช้จ่ายค่าตอบแทน เงินสมทบ ค่าบริหารและเงินคืนสู่สังคมแล้วก็ยังคงมีเงินรวมประมาณนับแสนล้านบาทที่ไม่ได้นำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน
อีกทั้ง เงินที่ไม่นำส่งเป็นรายได้แผ่นดินนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯยังชี้ด้วยว่าก็ไม่ปรากฏค่าใช้จ่ายแต่ละรายการ เช่นเดียวกับการเสนอขอใช้งบประมาณแผ่นดินเช่นเดียวกับโครงการอื่น ๆ
สำคัญที่สุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯเห็นว่า การที่“ทักษิณ ชินวัตร”เร่งรีบทำ“หวยบนดิน” โดยไม่ได้ผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายก่อนก็เพราะทักษิณไม่ต้องการให้เงินจากการขาย“หวยบนดิน”ถูกจัดสรรเข้าเป็นรายได้แผ่นดินอันจะส่งผลให้การใช้จ่ายเงินต้องเป็นไปตามช่องทางปกติ ตามวิธีการงบประมาณเพื่อให้มีการจัดการเงินรายได้โดยไม่มีข้อจำกัด
สรุป อดีตคือบทเรียน และบทเรียนของประเทศนี้ ก็มักจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกเป็นบทเรียนซ้ำซาก ที่ถอดกันไม่รู้จักจบจักสิ้น
จะอะไรก็ตามแต่-“เราไม่เอากาสิโน”ครับ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี