อนาคตการผลิตสุราชาวบ้าน จำพวกสุรากลั่น สุราสี สดใสทันที
เมื่อสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบการแก้ไขพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต ปลดล็อกการผลิตสุรากลั่นพื้นบ้าน
ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถผลิต “สุราสี” โดยไม่ถูกตั้งกำแพงการผลิตขั้นต่ำ 30,000 ลิตรต่อวันอีกต่อไป
เป็นไปตามแนวทางเปิดเสรี แบบไม่ใช่สุดโต่งชนิดใครผลิตเองที่บ้านก็ได้แบบร่างของพรรคส้ม (ที่จะเป็นอันตรายมาก)
ตอกย้ำว่า แนวทางของพรรคส้มนั้น ไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เน้นปั่นกระแสเอาสะใจ เหมือนเด็กทำงานไม่เป็น
ส่วนแนวทางที่พรรคร่วมรัฐบาลร่วมมือกันนั้น เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ สมดุล สมเหตุสมผลได้จริงๆ
หากกฎหมายนี้เริ่มใช้บังคับ มีการออกกฎกระทรวงตามเจตนารมณ์ การผลิตสุราของภาคประชาชนจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เพราะผู้ผลิตสามารถผลิตสุราสี โดยไม่มีเกณฑ์ของกำลังการผลิต
ผู้ผลิตสุราจะสามารถนำสุราขาวที่ผลิตมาบ่มให้เป็นสุราสี เพื่อเพิ่มมูลค่าได้ ตามภูมิปัญญา ตามสูตรที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง
1.ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ถูกเสนอพรรครัฐบาล ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ
ส่วนร่างของพรรคก้าวไกลนั้น ถูกมองว่าสุดโต่งเกินไป
สุดท้าย ฝ่ายรัฐบาลจึงผลักดันเอาตามแนวทางร่างของพรรคร่วมรัฐบาล
กระทั่งได้คะแนนเห็นชอบวาระ 3 เอกฉันท์ ด้วยเสียงเห็นชอบ 415 เสียง
2.ที่ผ่านมา อุปสรรคสำคัญในการผลิตสุราสี ประเภทวิสกี้-บรั่นดี จะต้องมีกำลังการผลิต 30,000 ลิตรต่อวัน
หากเป็นประเภทรัม จะต้องมีกำลังสูงถึง 90,000 ลิตรต่อวัน
เท่ากับว่า ตั้งกำแพงตัดตอนการผลิตสุรากลั่นของชาวบ้านไปโดยปริยาย
แนวทางที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบ คือ ให้ตัดเรื่องกำลังการผลิตออกไปทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ยังดูแลมาตรฐานการผลิตสุราเพื่อให้มีความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ทั้งในครัวเรือนและระดับการค้า
3.ร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ … ) พ.ศ. … มีสาระสำคัญอยู่ที่การแก้ไขมาตรา 153 ระบุว่า
“ผู้ใดประสงค์จะผลิตสุรา หรือมีเครื่องกลั่นสำหรับผลิตสุราไว้ในครอบครอง ให้ยื่นคำขออนุญาตต่ออธิบดี และต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด
การขออนุญาต และการออกใบอนุญาต ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กำหนดกฎกระทรวง”
กฎกระทรวงตามวรรคสอง ต้องมีสาระสําคัญ คือ
1.ส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อยให้สามารถประกอบอาชีพของตนได้ โดยไม่สร้างเงื่อนไขหรือภาระให้แก่ผู้ขออนุญาตเกินความจําเป็น
2.เปิดโอกาส ให้สถาบันเกษตรกรตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และวิสาหกิจชุมชน ได้เข้าถึงใบอนุญาตเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เพื่อส่งเสริมการขยายตัวของเศรษฐกิจฐานราก
3.ต้องไม่กําหนดถึงกําลังการผลิตและทุนจดทะเบียนขั้นต่ำ แต่ให้คํานึงถึงคุณภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นสําคัญด้วย
4.เมื่อร่างกฎหมายผ่านความเห็นชอบ และมีผลบังคับใช้ จะนำไปสู่การออกกฎกระทรวงเรื่องการผลิตสุราฉบับใหม่ ซึ่ง กมธ. มีข้อสังเกตร่วมกัน ดังนี้
“1.จะต้องไม่มีการนำหลักเกณฑ์เรื่อง กำลังแรงม้าของเครื่องจักร จำนวนคนงาน ขนาดกำลังการผลิตสุรา ปริมาณการผลิต ทุนจดทะเบียน ระยะเวลาในการประกอบกิจการ การจัดทำ EIA มาเป็นมาสร้างเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะของการผูกขาดทางเศรษฐกิจ
2.จะไม่สามารถกำหนดเงื่อนไขการขออนุญาตผลิตสุรา แบบขั้นบันไดได้อีกแล้ว จากเดิมที่ผู้ประกอบการจะต้องขอทำโรงสุราขนาดเล็กมาก่อน 1 ปีก่อน จึงจะสามารถขอทำโรงสุราขนาดกลางได้ จากนี้ใครมีความพร้อมในการทำโรงสุราขนาดใดก็สามารถขอทำ
โรงสุราขนาดนั้นๆ ได้เลย
3.การผลิตเบียร์จากเดิม หากจะบรรจุกระป๋อง หรือขวดขาย จะต้องทำเป็นโรงงานขนาดใหญ่ ได้รับการเห็นชอบรายงาน EIA ซึ่งหมายความว่า คุณต้องมีปริมาณการผลิต 7.2 ล้านลิตรต่อปี จะต้องปรับแก้ให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถทำได้เช่นกัน เนื่องจากปัจจุบันมีเทคโนโลยีการผลิตเบียร์สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก และขนาดกลางที่ได้มาตรฐานเช่นเดียวกัน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างโรงเบียร์ที่เป็นโรงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เท่านั้น
4.จะต้องไม่กำหนดกำลังการผลิตขั้นต่ำ จากเดิมผู้ประกอบการที่ต้องการจะทำเหล้าสี จะต้องผลิตไม่น้อยกว่า 30,000 ลิตรต่อวัน หลังจากนี้จะไม่มีเงื่อนไขนี้แล้ว และจากเดิมที่อนุญาตเฉพาะกลุ่มบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล หลังจากนี้กลุ่มสหกรณ์การเกษตร วิสาหกิจชุมชน ก็สามารถทำได้เช่นกัน
5.โรงสุราขนาดเล็ก หรือกลาง สามารถตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำได้ แต่ต้องมีระบบบำบัดน้ำเสีย (โรงใหญ่ตั้งได้อยู่แล้ว และมีระบบบำบัด)
6.รัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะพิจารณาแบ่งประเภทสุราใหม่ ให้มีการแสดงชื่อสุราบนฉลากที่มีความหลากหลายมากขึ้น
7.รัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะพิจารณา ให้สามารถมีการบรรจุสุราในบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กได้ เพื่อเป็นของฝากสำหรับนักท่องเที่ยว
8.การขอใบอนุญาตผลิตสุรากลั่น และสุราแช่ สามารถใช้ที่อยู่เดียวกันได้ (สุราบางชนิดใช้ทั้งกระบวนการกลั่นและแช่ จากเดิมต้องย้ายโรงงานกันหรือส่งวัตถุดิบไปอีกโรงงานหนึ่ง)
9.ควรออกมาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมเกษตรกรที่นำสินค้าเกษตรในท้องถิ่นมาผลิตเป็นสุรา
และ 10. โรงเบียร์ขนาดเล็กและกลาง ที่ไม่สามารถติดตั้งเครื่องพิมพ์เครื่องหมายแสดงการเสียภาษี(หลักล้าน) ให้มีการพิจารณาให้มีการซื้ออากรแสตมป์มาติดได้”
5.สนับสนุน SMEs วิสาหกิจชุมชน สถาบันเกษตรฯ ขอใบอนุญาตได้
นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ ยืนยันในที่ประชุมว่า สาระสำคัญ คือ การเพิ่มเติมความในมาตรา 153 เพื่อกำหนดกรอบในการออกกฎกระทรวง เกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตผลิตสุราหรือมีเครื่องกลั่นสำหรับผลิตสุราไว้ในครอบครอง ให้เปิดกว้างมากขึ้น
ภายใต้ 2 ประเด็นหลัก คือ
1) ต้องสนับสนุนให้สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน องค์กรเกษตรกร หรือผู้ประกอบการรายย่อย สามารถขอรับใบอนุญาตผลิตสุราเพื่อ
การค้าได้ โดยไม่ใช้หลักเกณฑ์ที่เป็นการเลือกปฏิบัติหรือผูกขาดทางเศรษฐกิจโดยไม่เป็นธรรม หรือสร้างภาระเกินสมควร
2) ต้องสนับสนุนการใช้สินค้าเกษตรในประเทศมาผลิตหรือนำมาเป็นส่วนผสมในการผลิตสุราทุกประเภท
ทั้งนี้ ยังดำรงในหลักการเดิมว่า การผลิตสุราหรือมีเครื่องกลั่นสุราไว้ในครอบครอง ไม่ว่าด้วยวัตถุประสงค์ใด ยังคงต้องมีการขออนุญาต เพื่อให้หน่วยงานของรัฐรับทราบและสามารถควบคุมผลกระทบจากการลักลอบผลิตอย่างผิดกฎหมายได้ ซึ่งไม่ใช่ “สุราเสรี” ที่เปิดให้ทุกคน ผลิตสุราโดยขาดการควบคุม
ซึ่งแตกต่างจากร่าง “สุราก้าวหน้า” ของพรรคประชาชน ที่สภาผู้แทนราษฎรเคยมีมติ “ไม่รับหลักการในวาระ 1” เพราะมีหลักการที่จะให้การขออนุญาตผลิตสุราต้องทำเมื่อผลิตเพื่อการค้าเท่านั้น
6.การที่สภาผู้แทนราษฎรร่วมกันผ่านร่างกฎหมาย ด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ครั้งนี้
ตอกย้ำว่า การทำงานร่วมกัน ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล สามารถสร้างผลสำเร็จได้จริง
โดยจะต้องไม่สุดโต่ง ไม่มุ่งเอาแต่ปั่นกระแส ตามแนวทางพรรคส้มที่ถูกคว่ำไปก่อนหน้านี้ ซึ่งเหมือนเด็กที่ทำงานไม่เป็น
แต่การเดินหน้าบนพื้นฐานของความพอดี พอเหมาะพอควร สมเหตุสมผล ไม่เพ้อเจ้อ อยู่บนพื้นฐานชีวิตจริง สามารถประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนสังคมได้ดีกว่า
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี