“โกงพ่อมึงสิ” – ทักษิณ ชินวัตร
กลายเป็นวาทะเผ็ดร้อน ท่ามกลางความพยายามจะหาคะแนนเสียง จึงทำทุกอย่างเพื่อหวังเรียกความเชื่อมั่นศรัทธากลับคืนมา
แม้กระทั่งฟอกตัวเอง ?
1. เมื่อที่ 20 ม.ค. 2568 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นปราศรัยหาเสียงช่วยผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จากพรรคเพื่อไทย
ที่จังหวัดมหาสารคาม
นายทักษิณ กล่าวว่า มีเรื่องอีกเยอะที่ต้องการกำลังใจจากพี่น้อง วันนี้มีเรื่องต้องทำอีกเยอะ แต่กำลังใจจากพี่น้องเป็นเรื่องสำคัญ เพราะตังค์มีเยอะแล้วไม่เดือดร้อน
“...มีคนบอกว่า ผมโกง โกงพ่อมึงสิ
ผมเข้ามาการเมืองเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ตอนนั้นประกาศทรัพย์สินทั้งที่ ป.ป.ช. ไม่บังคับ ผมประกาศมีทรัพย์สินกว่า 6 หมื่นล้านบาท เพราะทำธุรกิจมา สร้างเนื้อสร้างตัวมา
วันนี้โดนยึดไป 46,000 ล้านบาท ยังไม่ร้องสักคำเลย ทั้งๆ ที่ เป็นเงินที่ทำมาหากินมาแท้ๆ
คำก็โกง สองคำก็โกง
ก็มึงตั้งคณะกรรมการเฮงซวยมาสอบกู
ตอนที่กูรวย มึงยังเพิ่งขอตังค์พ่อใช้อยู่เลย...”
2. ความจริง คือ ทักษิณถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาชี้ขาด คดีถึงที่สุด ว่าทุจริตประพฤติมิชอบ ร่ำรวยผิดปกติ
และยังมีความผิดทางอาญา โทษจำคุก อีกหลายคดี
ส่วนที่อ้างว่า ตั้งกรรมการเฮงซวยมาสอบ ทักษิณก็ยกมาสู้ในชั้นศาลแล้ว ศาลชี้ขาดว่าการสอบสวนชอบด้วยกฎหมายทุกประการ ไม่มีใครยัดหลักฐานเท็จเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งกว่านั้น ทักษิณได้ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ โดยยอมรับผิดตามคำพิพากษาของศาลทุกคดี อ้างว่าสำนึกในการกระทำความผิดแล้วด้วย
ครั้งนั้น ระบุถึงคำพิพากษา 3 คดี ได้แก่
คดีที่ 1 คดีเอ็กซิมแบงก์ คดีหมายเลขแดง ที่ อม. ๔/๒๕๕๑ ความผิดต่อหน้าที่ราชการ กำหนดโทษจำคุก 3 ปี
คดีที่ 2 คดีหวยบนดิน คดีหมายเลขแดง ที่ อม. ๑๐/๒๕๕๒ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ กำหนดโทษจำคุก 2 ปี
และคดีที่ 3 คดีนอมินีหุ้นชิน แปลงสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต คดีหมายเลขแดง ที่ อม. ๕/๒๕๕๑ ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมกำหนดโทษจำคุก 5 ปี
ทักษิณระบุด้วยว่า เคารพในกระบวนการยุติธรรม ยอมรับผิดในการกระทำมีความสำนึกในความผิด จึงขอรับโทษตามคำพิพากษา
ขึ้นเวทีหาเสียง แล้วลืมความจริงเหล่านี้ไปได้อย่างไรกัน?
3. ทักษิณคุยโวว่า รวยมาก่อนจะเล่นการเมืองแล้ว
เป็นความจริงที่ว่าทักษิณรวย แต่จะถึงหกหมื่นล้านบาทจริงหรือไม่ นั่นดูจะขัดแย้งกับหลักฐานที่ตนเองแจ้ง ป.ป.ช.
แต่ประเด็นสำคัญ คือ ไม่ว่าก่อนเป็นนายกฯ จะรวยหรือจน ทักษิณถูกศาลฎีกาฯพิพากษาถึงที่สุดไปแล้วว่า “ร่ำรวยผิดปกติ”
คือ ต่อให้รวยมาก่อนอย่างไร แต่เมื่อเข้ามาเป็นนายกฯ แล้วได้อาศัยอำนาจในตำแหน่งนายกฯ เอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของตนเองและครอบครัว ทำให้ได้รับผลประโยชน์ร่ำรวยเพิ่มขึ้นไปอีกโดยมิชอบ ก็มีความผิดตามกฎหมาย
ประการสำคัญ มีดังนี้
(1) ศาลฎีกาฯ ชี้ชัดว่า ทักษิณคือเจ้าของหุ้นชินฯ ตัวจริงโดยตลอดช่วงที่ยังเป็นนายกฯ แต่ใช้วิธีใช้ตัวแทนเชิด อำพรางความเป็นเจ้าของไว้
ขณะเป็นนายกฯ ได้อาศัยอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจส่วนตัวโดยมิชอบ หลายกรณีสำคัญ ได้แก่
กรณีแปลงสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต
กรณีเงินกู้เอ็กซิมแบงก์เอื้อกิจการโทรคมนาคม
กรณีแก้สัมปทานมือถือลดอัตราส่วนแบ่งรายได้พรีเพด
กรณีแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING)
กรณีแก้สัมปทานดาวเทียม กรณีดาวเทียมไอพีสตาร์
หลังจากนั้น จึงมีการดำเนินคดีในความผิดทางอาญาในแต่ละกรณีกับผู้เกี่ยวข้องตามมาด้วย
(2) ศาลฎีกาฯ พิพากษายึดทรัพย์ทักษิณ
โดยยึดเฉพาะส่วนที่เพิ่มขึ้นหลังดำรงตำแหน่งนายกฯ และเงินปันผล (ถือว่าเป็นทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นมาโดยมิชอบ ร่ำรวยผิดปกติ) รวม 46,373 ล้านบาท
จากเงินที่รวบรวมขายหุ้นทั้งหมด 76,261 ล้านบาท
โดยคืนส่วนที่เหลือ 30,247 ล้านบาท เพราะเห็นว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เงินที่มีอยู่แต่เดิม
นั่นยังต่างกับการยึดทรัพย์กรณีคดียาเสพติด เพราะเจอเท่าไหร่จะยึดหมด ไม่มีคืนให้ เพราะถือเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดด้วย
ครั้งนั้น นับว่ายังโชคดี ที่ตระกูลชินวัตรได้เงินคืนไปกว่าสามหมื่นล้านบาท
(3) ในคดีทักษิณร่ำรวยผิดปกติฯ แม้นายพานทองแท้ นางสาวพินทองทา อ้างว่าตนเป็นเจ้าของหุ้นชินฯ แต่ศาลฎีกาฯ ชี้ขาดว่า ทักษิณเป็นเจ้าของตัวจริง เพียงแค่ซุกใส่ชื่อลูกๆ และแอมเพิล ริช ไว้ เท่านั้นเอง
ต่อมา ในคดีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ การขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและส่วนรวม (คำพิพากษา ปี 2563)
ศาลฎีกาฯ ชี้ขาดไว้อย่างชัดแจ้ง
ระบุว่า พานทองแท้ - พินทองทา - ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร - บรรณพจน์ ดามาพงศ์ ที่ปรากฏชื่อถือหุ้นชินฯในช่วงทักษิณเป็นนายกฯ นั้น ล้วนแต่เป็นผู้ถือหุ้นแทนนายทักษิณ เพื่อหลบเลี่ยงกฎหมายทั้งสิ้น
คุณหญิงพจมานเป็นคนชำระเงินค่าหุ้นเพิ่มทุนให้นายบรรณพจน์
ส่วนการขายหุ้นให้นายพานทองแท้ นางสาวยิ่งลักษณ์ และนายบรรณพจน์ ต่างก็ใช้วิธีออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชําระค่าซื้อหุ้น มีกําหนดใช้เงินเมื่อทวงถามโดยไม่มีดอกเบี้ย
พูดง่ายๆ คือ ยังไม่จ่ายเงินค่าหุ้นจริงๆ โดยศาลระบุถึงขนาดว่า “ตามพฤติการณ์ดังกล่าวจึงน่าเชื่อว่า แท้จริงไม่มีการโอนซื้อขายและไม่มีการชําระราคากันจริง”
แถมมีเอกสารเชิงลึกจากธนาคารกลางประเทศสิงคโปร์ประกอบ มัดแน่น ว่าเจ้าของหุ้นชินตัวจริง คือ ทักษิณและภริยาโดยตลอด ยังคงเป็นผู้ควบคุมกิจการ
ชินคอร์ปในขณะนั้น
ขณะเดียวกัน ก็มีพฤติกรรมอาศัยอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจส่วนตัวดังกล่าวด้วย
ศาลฎีกาฯ ชี้ขาดว่า ทักษิณยังคงเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ซึ่งเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐ โดยให้บุคคลอื่นมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นแทน อันเป็นการขัดกันระหว่าง
ผลประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม และฝ่าฝืนกฎหมาย
ศาลวินิจฉัยว่า ทักษิณได้มอบนโยบายและสั่งการกรณี พ.ร.ก.เก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งได้รับสัมปทานจากรัฐ และให้คู่สัญญาภาคเอกชนนำภาษีสรรพสามิตมาหักออกจากส่วนแบ่งรายได้หรือค่าสัมปทานที่คู่สัญญาภาคเอกชนจะต้องนำส่งให้คู่สัญญาภาครัฐได้ เอื้อประโยชน์ให้แก่เอไอเอส และบริษัท ดีพีซี ทั้ง 2 บริษัทเป็นบริษัทในเครือของบริษัทชินคอร์ปฯ ซึ่งจำเลยเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ให้ทั้ง 2 บริษัทได้รับคืนเงินภาษีสรรพสามิต โดยมีสิทธินำไปหักออกจากค่าสัมปทานที่ต้องนำส่งให้ ทศท. และ กสท. เป็นผลให้ ทศท. และ กสท. ได้รับความเสียหาย
พิพากษาลงโทษ ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ จำคุก 2 ปี, ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการเข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น เนื่องด้วยกิจการนั้น จำคุก 3 ปี รวมเป็นจำคุก 5 ปี (คดีหมายเลขแดง ที่ อม. ๕/๒๕๕๑)
อย่างไรก็ตาม หลายคดี ทักษิณเป็นฝ่ายชนะ เช่น คดีเงินกู้กรุงไทย คดีทีพีไอ เป็นต้น
4. ยังไม่นับว่า ช่วงที่ทักษิณหนีคดีอยู่ ยังมีคดีทุจริตประพฤติมิชอบอีกหลายคดี ด้วยมูลเหตุจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เอื้อประโยชน์แก่ทักษิณและพวก
ศาลมีคำพิพากษาชี้ขาด ปรากฏพยานหลักฐานข้อมูลความจริง และมีบุคคลที่กระทำผิดต้องติดคุกไปจำนวนมาก
คดีที่เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เอื้อประโยชน์แก่คนในครอบครัวทักษิณ เช่น
คดีสัมปทานดาวเทียม หมอเลี้ยบ อดีต รมว.ไอซีทีคุก 1 ปี
คดีพาสปอร์ต นายสุรพงษ์ อดีต รมว.ตปท. คุก 2 ปี
คดีธรณีสงฆ์อัลไพน์ ยงยุทธ คุก 2 ปี
คดีช่วยเลี่ยงภาษี อดีตอธิบดีสรรพากร คุก 3 ปี
คดีลดค่าสัมปทานเอไอเอส อดีต ผอ.องค์การโทรศัพท์ฯ คุก 6 ปี เป็นต้น
5. วาทะการเมืองที่ว่า “โกงพ่อมึงสิ”
เจตนาฟาดฟันไปที่คนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบ
แต่สุดท้าย... จึงอาจถูกคนรู้ทันสวนกลับได้ว่า “ไม่โกงพ่อมึงสิ”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี