ในวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2477 รัฐบาลได้นำเรื่องที่รัฐบาลได้ไปทำสัญญาจำกัดยางไว้กับต่างประเทศมาเสนอต่อสภาฯเพื่อขอสัตยาบันผู้ชี้แจงคือพระสารสาสน์พลขันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจการ หลังจากชี้แจงเสร็จ โดยมิได้คาดหมาย ปรากฏว่ามีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งทั้งจังหวัดทางภาคใต้ ซึ่งมีพื้นที่ปลูกยางพารา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดอื่นๆ ที่แม้จะไม่ได้มีการปลูกยางพาราก็ตาม ได้ลุกขึ้นอภิปรายซักถามและแสดงความเห็นกันอย่างมาก และที่คาดไม่ถึงจริงๆ ก็คือความเห็นของสมาชิกที่อภิปรายจำนวนมากนั้นไม่เห็นด้วยกับการไปตกลงจำกัดโควตาค้ายางตามสนธิสัญญาที่นำเสนอ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากจังหวัดภาคใต้คือ พระยาสมันตรัฐบุรินทร์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีลอย ที่เห็นด้วยและสนับสนุนรัฐบาล พระยาสมันตรัฐฯท่านยังอ้างว่าเพียงมีข่าวการตกลงกันจำกัดโควตาค้ายาง ก็ทำให้ราคายางขึ้นไปมาก จึงเป็นผลดีต่อผู้ปลูกยาง
ในวันนั้น อภิปรายกันไม่จบ รัฐบาลจึงขอเลื่อนการประชุมไป วันที่ 12 กันยายน แต่มาได้ประชุมจริงในวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2477 แม้จะเลื่อนวันประชุมมา 3 วัน เมื่อเปิดประชุม ผู้แทนราษฎรก็ยังลุกขึ้นมาอภิปรายคัดค้านไม่เห็นด้วยมากเหมือนเดิม บางท่านก็อยากให้ลดเวลาสัญญาจาก 5 ปี เหลือ 3 ปีเป็นต้น เมื่อสมาชิกที่อภิปรายส่วนมากแสดงความเห็นไปในทางคัดค้านอย่างจริงจังเช่นนี้ ผู้แทนราษฎรท่านหนึ่งคือหลวงวรนิติปรีชา ผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีการปลูกยางพารามากในจังหวัดที่ท่านเป็นผู้แทนฯ ได้ลุกขึ้นมา อภิปรายวิงวอนต่อเพื่อนสมาชิกให้เห็นใจรัฐบาล
“ถ้าสภาไม่ให้มติให้รัฐบาลทำสัตยาบันแก่อนุสัญญาฉบับนี้แล้ว ข้าพเจ้าแน่ใจว่ารัฐบาลจำเป็นจะต้องลาออก เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ท่านทั้งหลาย คิดดูฐานะของบ้านเมืองเวลานี้เป็นอย่างไร”
ที่น่าสังเกตเป็นอย่างมากคือคำอธิบายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยการเสนอของรัฐบาล ได้อภิปรายคัดค้านรัฐบาลอย่างแจ้งชัด ท่านแรกคือ นายมังกร สามเสน ซึ่งเป็นทนายความที่มาจากภาคเอกชน เรียกร้องไม่ให้สภาให้สัตยาบัน
“…ขอให้สภานี้อย่าได้รับหลักการ ในเรื่องที่จะอนุมัติให้ไปทำสัตยาบันกับต่างประเทศ”
อีกท่านหนึ่งเป็นนายทหารที่เป็นสมาชิกสภาฯประเภทแต่งตั้ง ได้แก่นายพันตรี หลวงรณสิทธิ์พิชัย ท่านนี้เป็นนายทหารบก ที่บางคนมองว่าสายหลวงพิบูลสงคราม แต่บางคนก็มองว่าสายพระยาทรงสุรเดช ได้แสดงท่าทีไม่สนใจว่ารัฐบาลจะลาออกหรือไม่
“…ที่สมาชิกผู้หนึ่งว่า ถ้าหากสภาฯนี้ไม่อนุมัติสัตยาบัน รัฐบาลนี้จะลาออก ข้อนี้เป็นจริงหรือไม่อย่างไรนั้น หาใช่หน้าที่ของสภาฯนี้จะพึงพิจารณาไม่…เฉพาะสภาฯนี้ ไม่มีหนทางอื่นใดเลย นอกจากว่าจะไม่รับหลักการของรัฐบาล”
หลังจากการอภิปรายกันอย่างเต็มที่แล้ว จึงได้มีการลงมติปรากฏว่ารัฐบาล แพ้เสียงในสภาเพราะมีเสียงเห็นชอบเป็นฝ่ายข้างน้อยที่อนุมัติให้สัตยาบันเพียง 25 เสียงเท่านั้น ในขณะที่เสียงของฝ่ายที่ไม่อนุมัติให้สัตยาบันมีจำนวนมากถึง 73 เสียง ผลของการที่สภาไม่ให้สัตยาบันในสัญญาที่ทางรัฐบาลไปตกลงกับต่างประเทศงั้นทำให้รัฐบาลไม่สามารถจะอยู่ได้ ดังนั้นนายกรัฐมนตรี พระยาพหลฯจึงได้ลาออกจากตำแหน่งในคืนวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2477 นั่นเอง
นับเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลแพ้เสียงในสภาฯ โดยไม่ได้รับการให้สัตยาบันในการทำสัญญากับต่างประเทศ ที่แปลกมากคือ ฝ่ายรัฐบาลมีสมาชิกในสภาฯที่มาจากการเสนอแต่งตั้งของรัฐบาลอยู่ครึ่งหนึ่งในสภาฯ นั่นคือจำนวน 78 เสียง แต่รัฐบาลได้เสียงสนับสนุนเพียง 25 เสียงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีคนคิดว่าคนสำคัญในรัฐบาลเองต้องการล้มรัฐบาลพระยาพหลฯนั่นเอง
นรนิติ เศรษฐบุตร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี