มีผู้รู้กล่าวไว้ว่า เมื่อการโกหกไม่ได้เป็นความผิดที่มีบทลงโทษทางกฎหมาย ดังนั้น การโกหกของนักการเมืองจึงกลายเป็นความด้านชาในสังคมไทย
การโกหกของนักการเมืองก็เพียงเพื่อให้ได้รับคะแนนนิยม และให้ผู้สมัคร สส.ของตนได้รับเลือกตั้งเข้าไปในสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น และยังหมายรวมไปถึงผู้บริหารและสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีกด้วย เช่น เลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และนายก อบจ.เป็นต้น
ปัญหาวิกฤตฝุ่นพิษ“PM2.5” ที่คนเมืองหลวงในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งอีกหลายจังหวัดรอบนอก กำลังประสบกันอยู่ในเวลานี้ ชัดเจนที่สุดว่า นักการเมืองนั้นเป็นคนโกหกมดเท็จ
“ชัชชาติ สิทธิพันธุ์”เป็นคนแรกที่ต้องกล่าวถึง เพราะตอนหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. คุยโม้โอ้อวดเรื่อง 200 นโยบายด้วยแนวคิด ‘กรุงเทพฯ 9 ดี’ โดยอ้างว่าใช้เวลากว่า 2 ปีลงพื้นที่สำรวจปัญหาใน กทม. ซึ่งเรื่องฝุ่นพิษ“PM2.5”นี้ ชัชชาติบอกว่าที่แก้ปัญหากันไม่ได้ เพราะเกิดจากระบบราชการ เนื่องจากมีหลายหน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมมีรายละเอียดชัดเจนว่า เมื่อได้รับเลือกเป็น ผู้ว่าฯ กทม.จะมีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไร
สองปีผ่านไปหลังจาก“ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” โฆษณาชวนเชื่อ อันเป็นผลให้คนกรุงเทพฯ 1.38 ล้านเสียงลงคะแนนเสียงเลือกเข้าไปเป็น ผู้ว่าฯ กทม. ปรากฏว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2565 นับจากเป็นผู้ว่าฯ กทม.เป็นต้นมา สิ่งที่ปรากฏก็คือ ไม่ทำอะไรเลย..เห็นทำแต่เรื่อง“บ้าบ๊อง”ไปวันๆ และนอกจากนั้น คน กทม.ที่เคยส่งเสียงเชียร์และลงคะแนนเลือกก็เงียบกริบเป็น“เป่าสาก”
โดยเมื่อวันที่ 23 มกราคมวานนี้ สถานการณ์ใน กทม. ค่าฝุ่นสีแดงเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมรวมทั้งหมด 21 เขต..ซึ่ง“ชัชชาติ สิทธิพันธุ์”ทำได้อย่างเดียวคือ หลังจากออกปากว่าขอน้อมรับเสียง“ตำหนิ”จากคน กทม.ที่ดังอย่างอื้อในเวลานี้ เพราะไม่สามารถแก้ปัญหาฝุ่นพิษได้แล้ว ก็ยังมีหน้าแก้ตัวโดยโทษดินฟ้าอากาศอีกว่า ปัญหามาจาก 3 ปัจจัย คือ รถยนต์, การเผา และสภาพอากาศปิด
กรณี“ชัชชาติ สิทธิ์พันธุ์”คือหนึ่งตัวอย่างของการโกหกหลอกลวง ที่เป็นภาพสะท้อนของ“สันดานนักการเมือง”ในประเทศนี้ ซึ่งหาเสียงหลอกชาวบ้านเพียงเพื่อให้ตนได้เข้าไปมีอำนาจเท่านั้น
อีกตัวอย่างหนึ่ง คือระดับชาติ ชัดเจนที่สุดก็คือ พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลผสมในเวลานี้ ตอนหาเสียงเคยประกาศว่า จะทวงคืนอากาศสะอาด และแก้ปัญหา“PM2.5”ที่ทุกต้นตอ พร้อมกับคำโฆษณาว่า “หัวใจของการปราบฝุ่นคือการผลักดัน พ.ร.บ.อากาศสะอาด”
ทั้งนี้ การแก้ปัญหา“PM2.5”ของพรรคเพื่อไทยที่โฆษณาหาเสียงไว้นั้น มีทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
ระยะสั้น โม้ไว้ว่า “หน่วยงานรัฐต้องแจ้งเตือนค่าฝุ่นล่วงหน้าให้ประชาชนวางแผนได้ และในกรณีฝุ่นสูงจะมีการอพยพกลุ่มเสี่ยงให้ไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย แบบเดียวกับที่รับมือกับภัยพิบัติอื่นๆ พร้อมทั้งแจกหน้ากากให้กลุ่มเปราะบาง รวมถึงสั่งหยุดโรงเรียนเพื่อลดความเสี่ยง”
ระยะกลางสัญญาว่า “พรรคเพื่อไทยจะประสานกับกรมชลประทานให้ปล่อยน้ำเข้านาหลังฤดูเก็บเกี่ยว เพื่อเปลี่ยนตอข้าวให้เป็นปุ๋ย สำหรับอ้อยจะประสานโรงงานน้ำตาลให้ลงทุนตัดอ้อยไถกลบแทนการเผา ควบคู่กันไปจะมีการปลูกต้นไม้เพื่อดักจับฝุ่น และจูงใจให้คนหันมาใช้รถพลังงานสะอาด ด้วยมาตรการทางภาษี”
ระยะยาวประกาศว่า “ต้องมีการบังคับใช้ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ ให้ท้องถิ่นมีบทบาทในการจัดการปัญหาฝุ่น บังคับใช้กฎหมายกับอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เจรจากับเพื่อนบ้านเพื่อร่วมกันยุติปัญหาฝุ่นทั้งในประเทศและข้ามพรมแดน รวมถึงพัฒนานวัตกรรมเครื่องมือเกษตร เก็บเกี่ยวและขุดกลบที่ไม่ต้องเผา เพื่อจัดการฝุ่นให้ถึงต้นตอ”
ถึงวันนี้เข้าปีที่สองหลังการเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคมปี 2566 ถามว่าสิ่งที่พรรคเพื่อไทยโฆษณาหาเสียงไว้ ได้ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว
เปลี่ยนนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 2 คน จาก“เศรษฐา ทวีสิน”มาถึง“มาดามแพทองโพย”..ปัญหา“ฝุ่นพิษ-PM2.5”กลับหนักหน่วงชนิดที่สาหัสสากรรจ์ยิ่งกว่าเดิม
ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาว เรื่องกฎหมาย“อากาศสะอาด” ที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงโดยประกาศเป็นสัญญาประชาคมไว้นั้น ไม่ทราบว่า กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่องลอยอยู่ที่ไหน เห็นแต่สาละวนอยู่กับการจะฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญ เพื่อยกร่างฉบับใหม่ให้เป็นประโยชน์ต่อนักการเมืองที่มีสันดานชั่ว เพื่อจะเข้าไปโกงกินบ้านเมืองกันได้ง่ายๆ และเวลานี้ก็กระเหี้ยนกระหือรืออยู่กับกฎหมาย“เอ็นเตอร์เมนต์คอมเพล็กซ์” และการพนันออนไลน์ใต้ดินที่จะทำให้ถูกกฎหมาย
เมื่อลำดับความดูแล้ว สมัยที่อดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร เจ้าของคอกพรรคเพื่อไทยตัวจริง เป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม และเป็นรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล“บรรหาร ศิลปะอาชา”เมื่อปี 2538 ก็เคยประกาศว่าจะแก้ปัญหาจราจรใน กทม.ให้ได้ภายใน 6 เดือน ซึ่งก็มีแต่น้ำลายที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ เพราะทำไม่ได้ กระทั่งเป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นอดีตนักโทษคดีทุจริตโกงบ้านกินเมือง ปัญหาจราจรในกรุงเทพฯ ก็ยังเหมือนเดิม และวันนี้ก็ยังไปคุยโม้โอ้อวดในเวทีหาเสียงนายก อบจ. พร้อมทั้งหลอกชาวบ้านว่าจะทำโน่นทำนี่อีกมากมายหลายโครงการ
อย่างไรก็ดี เรื่องสันดานโกหกของนักการเมืองและพรรคการเมืองดังที่ว่ามานั้น..ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเคยเป็นนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคกิจสังคม ได้เขียนบทประพันธ์ไว้ในหนังสือ“รวมเรื่องสั้น-คึกฤทธิ์ ปราโมช” ชื่อเรื่อง“น้ำตานักการเมือง” ว่า
“ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ยอมเป็นทุกอย่างแม้แต่สุนัข ขอให้ได้รับเลือกเป็นผู้แทนราษฎรเท่านั้น”
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี