“ระพินทรนาถ ฐากูร” ปราชญ์ชาวอินเดีย และชาวตะวันออกคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม ในปี พ.ศ.2456 จากผลงานเรื่อง“คีตาญชลี” กล่าวไว้ว่า
“มนุษย์สามารถทำลาย และหักล้าง, ได้มา สร้างสม ประดิษฐ์ และค้นพบ แต่ความยิ่งใหญ่ของเขาอยู่ที่ความเข้าใจแจ้งด้วยวิญญาณของตน เป็นความพินาศอย่างแน่แท้ เมื่อเขาครอบคลุมวิญญาณไว้ในเปลือกหุ้มของนิสัยที่เลว เมื่อใดมนุษย์พยายามยกตนขึ้นสู่ความใหญ่โต โดยการผลักดันและเหยียบย่ำผู้อื่น มุ่งหมายความแตกต่างที่เขาภูมิใจมากกว่าใครๆ หมด เมื่อนั้น เขาถอยห่างออกจากอมตธรรม”
ที่ยกมานี้ เพื่อจะเปรียบเทียบให้เห็นว่า คนอย่างอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่เวลานี้ใช้ปากและอารมณ์อาฆาตแค้น แสดงความอวดเก่งพูดจาระรานผู้คนไปทั่วบ้านทั่วเมือง จากการเดินสายปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.ให้แก่ลูกพรรคเพื่อไทยนั้น แม้จะกลับเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างมีอภิสิทธิ์ และยังได้รับพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษ ก็ยังไม่สำนึก ทั้งที่อยู่ในวัยที่ใกล้จะลงโลงเต็มทน
“ทักษิณ ชินวัตร”ยังโหยหาอดีต มุ่งแสวงหาทั้งอำนาจและผลประโยชน์ไม่รู้จักจบสิ้น ภาษาชาวบ้านบอกว่า “สันดาน”ไม่เปลี่ยน ทักษิณเห็นความสุขของประชาชนอยู่ที่เงินทองของนอกกาย ห่างไกลและเดินสวนทางกับ“ชีวิตที่พอเพียง”
ทั้งนี้ นโยบายประชานิยมของ“ทักษิณ ชินวัตร”ที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทย ภายใต้การนำของ“แพทองโพย”ทำ ล้วนส่อว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน อันจะทำให้ผลประโยชน์ไปตกกับอยู่กับคนไม่กี่ตระกูล ภายใต้วาทกรรม“การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ” ที่วัดด้วย “จีดีพี” ดังที่ทักษิณกล่าวไว้ในทุกเวทีหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.ว่า “วันนี้วางแผนไว้หลายอย่าง มั่นใจว่าทำได้ ปีนี้ส่งออกโตกว่าที่คิด จีดีพีน่าจะโตกว่าที่คิด
นอจากนั้นทุกเวทีหาเสียง, “ทักษิณ ชินวัตร” จะพูดซ้ำๆ เรื่องเดิมๆ และเข้าข่ายละเมิดกฎหมาย จากการปราศรัยแสดงตนเหมือนเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ช่วยหาเสียง ขณะที่ กกต.กลับหูหนวกตาบอด ซึ่งฟังได้จากการปราศรัยเวทีสุดท้ายที่จังหวัดศรีสะเกษ ช่วยนายวิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ ผู้สมัครนายก อบจ.ของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา
“ผมกลับมามีแต่งานยากๆ แต่ผมเป็นคนโรคจิต งานง่ายๆ ไม่ชอบทำ ชอบทำงานยาก เพราะเกิดปีวัวกลางวัน วัวตอนเที่ยงกว่าจะได้กินฟางต้องไถนาก่อน คือเป็นลักษณะผมเลย ชอบทำงานหนัก ทำไมผมถึงลุยระบบ อบจ.ท้องถิ่น เพราะผมต้องการเชื่อมระหว่างรัฐบาลกับท้องถิ่น เพราะท้องถิ่นมีทั้ง อบจ. สจ. ใกล้ชิดกับประชาชนที่สุด ประชาชนมีอะไรสามารถไปร้องไปบอกไปขอได้ ฝากจดหมายน้อยถึงผมได้ เพื่อให้ช่วยกันแก้ปัญหา ผมก็เลยต้องเอาจริงเอาจังกับท้องถิ่น และจำเป็นต้องมีตัวแทนของตัวเอง ของพรรคเพื่อไทยอยู่ในพื้นที่ ที่ใกล้ชิดพี่น้องประชาชน”
อีกหนึ่งตัวอย่าง “เราเป็นพรรคการเมืองที่สัญญาอะไรแล้วทำ ทำช้าทำเร็วต้องทำ เท่าที่ระเบียบงบประมาณจะทำได้ แต่เราทำให้แน่นอน ดิจิทัลวอลเล็ตเมื่อเทคโนโลยีออกมาแล้ว เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว หนึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ต่อไปข้างหน้ากระเป๋าตังค์ดิจิทัลจะใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือของรัฐบาลไปยังประชาชน ใช้เป็นเครื่องมือที่จะให้สวัสดิการกับประชาชนผ่านระบบนี้”
และสัญญาว่าจะให้ซึ่งละเมิดกฎหมายชัดเจน จากปากของผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้ง นายก อบจ.นามว่า“ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนักโทษคดีทุจริตโกงบ้านกินเมืองผู้นี้ “ใครอายุเกิน 60 ภายในวันที่ 27 มกราคม เงิน 1 หมื่นมาถึงแล้ว ส่วนคนอายุ 16-60 ปี รอดิจิทัลวอลเล็ต เสร็จประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน ก็จะทยอยมา ดังนั้นที่สัญญาไว้ได้หมด ไม่มีคำว่าโกง วันนี้ประเทศจำเป็นต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะซบเซามานาน ต้องกระตุ้น ดิจิทัลวอลเล็ต หรือเงิน 1 หมื่น เป็นช่องทางหนึ่งของการกระตุ้น แต่ไม่พอ เพราะเงินถูกดูดหายไปหมด”
ส่วนคำประกาศนี้ จากการหาเสียงที่จังหวัดศรีสะเกษของ“ทักษิณ ชินวัตร” ก็เข้าข่ายปลุกระดมใช้ความรุนแรงเข้าแก้ปัญหา "วันนี้ถ้าเราไม่จัดการเรื่องยาเสพติดให้เด็ดขาด ลูกหลานเราลำบาก ประชาชนอยู่กันลำบาก หวาดผวากลัวคนติดยามันหลอนประสาท มันไล่ฆ่าพี่ฆ่าน้องหมด ผมเห็นแล้วไม่ไหวจริงๆ ตอนผมเป็นนายกฯ ครั้งแรกเห็นเหตุการณ์แบบนี้ บอกเลยว่ารับไม่ไหว วันนั้นที่จัดการสามเดือนเกลี้ยงเลย ดังนั้นสิ้นปีนี้ต้องจบ ยาเสพติดต้องหมด..."
สามเดือนเกลี้ยงของ“ทักษิณ ชินวัตร”ก็คือ ช่วงปฏิบัติการทำสงครามยาเสพติด ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2546 ของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ภายใต้วาทกรรมที่กระตุ้นระดับผู้ปฏิบัติงานว่า “การทำงานหนักของท่าน 3 เดือน ถ้าจะมีผู้ค้ายาตายไปบ้างก็เป็นเรื่องปกติ บางทีถูกยิงตายแล้ว ต้องถูกยึดทรัพย์ด้วย ผมคิดว่าเราต้องเหี้ยมพอกัน” ซึ่งปรากฏว่าช่วง 3 เดือนที่ว่านี้ มีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น 2,604 คดี มีผู้เสียชีวิต 2,873 ศพ และถ้าแก้ปัญหาได้จริง ถามว่าทำไมยาเสพติดในทุกวันนี้กลับกลายเป็นปัญหาที่หนักหน่วงยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก
สำหรับลูกสาว“แพทองโพย ชินวัตร” หลังจากยกคณะไปประชุม “World Economic Forum” (WEF) ประจำปี 2568 ที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 20-25 มกราคมที่ผ่านมา ก็อย่างที่เคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้ว่า ไม่น่าจะมีอะไรใหม่ นอกจากแต่งตัวเฉิดฉายแบบไร้รสนิยมท่ามกลางหิมะในฤดูหนาว แล้วก็เคาะกะลาตีปี๊บป่าวประกาศว่า นักลงทุนต่างชาติสนใจจะมาลงทุน ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนี้
โดย“มาดามแพทองโพย”ให้สัมภาษณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจในการร่วมประชุม WEF ว่า ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ที่ได้มาพร้อมทีมไทยแลนด์ชุดใหญ่ ซึ่งการประชุมเพียง 3 วัน แต่ประกอบไปด้วยการพบหารือกับคณะนักธุรกิจและผู้นำของแต่ละประเทศมากถึงกว่า 20 ภารกิจ ประกอบด้วยการหารือกับ 11 บริษัทเอกชนชั้นนำระดับโลก ที่ได้รับการตอบรับในการให้ความสนใจลงทุนในไทยเป็นอย่างดี เชื่อว่าหลายบริษัทที่เคยลงทุนในไทยอยู่แล้วจะลงทุนเพิ่มมากขึ้น ส่วนบริษัทใหม่ๆ ก็ให้ความสนใจมากที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นในเร็ววันนี้
ถ้ารื้อข้อมูลเก่าดู สมัยรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ไปประชุมเมื่อปีที่แล้ว นักลงทุนต่างชาติก็หน้าเดิม บริษัทก็เดิมๆ ไม่ได้มีอะไรใหม่ ไม่ว่าจะเป็น“DP World” ผู้นำด้านโลจิสติกส์ระดับโลกจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่แสดงความสนใจร่วมพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ หรือ โคคา-โคลา (Coca-Cola) ยักษ์ใหญ่เครื่องดื่มระดับโลก, เนสท์เล่ (Nestlé) บริษัทอาหารระดับโลก และกูเกิ้ล (Google) เป็นต้น
ที่น่าเสียดาย ก็คือ การเดินทางโดยยกคณะใหญ่ไปประชุมที่ดาวอสครั้งนี้ ด้วยเวลาซึ่งนับตั้งแต่วันเดินทางไปจนกระทั่งเดินทางกลับ รวมเวลา 5 วัน ประเมินกันว่า เงินหลวงของแผ่นดินถูกล้างผลาญไปไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท
ถือว่า-ได้ไม่คุ้มเสียจริงๆ !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี