ประเทศไทย มีการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี แต่ถูกนักการเมืองบางกลุ่มบูลลี่ด้อยค่า ปั่นหัวให้ประชาชนต่อต้าน มองยุทธศาสตร์ชาติติดลบ
ทั้งๆ ที่ เจตนาเพื่อใช้เป็นยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศในระยะยาว ต่อเนื่อง
เพื่อไม่ให้ประเทศชาติถอยหลังเข้าคลอง ปล่อยให้นักการเมืองผลัดกันเข้ามาโกง
เพื่อประเทศชาติจะไม่ต้องเดินผิดทิศผิดทาง ลองผิดลองถูก หลงทางเสียเวลา เหมือนในอดีต
รัฐบาลไม่เอาใจใส่เดินตามแผนยุทธศาสตร์ชาติอย่างจริงจัง ซึ่งจะมียุทธศาสตร์ย่อยด้านต่างๆ อาทิ ยุทธศาสตร์การจัดการมลพิษ 20 ปี มีมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5
น่าเสียดาย หากรัฐบาลทุกชุดเอาจริงเอาจัง ทำงานต่อเนื่อง สถานการณ์เรื่องฝุ่นพิษ PM2.5 ในประเทศไทยจะดีกว่านี้แน่นอน
1. สถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 โดยเฉพาะพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงต้นปีและปลายปีทุกปี
โดยมีแหล่งกำเนิดและกิจกรรมในพื้นที่ ได้แก่ ไฟป่า การเผาในพื้นที่เกษตร หมอกควันข้ามแดน การจราจรและขนส่ง โรงงานอุตสาหกรรม
ประกอบกับสภาพอุตุนิยมวิทยาในช่วงต้นปี ที่ความกดอากาศสูงแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทย ทำให้อากาศปิด ลมสงบ ฝุ่นละอองไม่ฟุ้งกระจายและสะสมในพื้นที่จนเกินมาตรฐาน
2. สมัยรัฐบาลลุงตู่ เคยให้ความสำคัญ โดยประกาศให้การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง เป็นวาระแห่งชาติเมื่อปี 2562
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562
รวมถึงแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษ ด้านฝุ่นละอองประจำปี ที่ดำเนินการต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 ทำให้สถานการณ์ฝุ่นละอองในปี 2564-2565 ดีขึ้นเป็นลำดับ
โดยในปี 2565 พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ลดลงร้อยละ 16 จำนวนวันที่เกินมาตรฐาน ลดลงร้อยละ 56
พื้นที่ภาคเหนือ 17 จังหวัด ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ลดลงร้อยละ 27 จำนวนวันที่เกินมาตรฐาน ลดลงร้อยละ 32 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 จำนวนจุดความร้อน ลดลงร้อยละ 61
ต่อมา ในปี 2566 สถานการณ์มลพิษจากฝุ่นละอองมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น
การวิเคราะห์ข้อมูลสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ในปี 2566 โดยเฉพาะในพื้นที่วิกฤต ได้แก่ พื้นทึ่ 17 จังหวัดภาคเหนือ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตามช่วงสถานการณ์ต่างๆ ได้แก่ ช่วงสถานการณ์ปกติ ช่วงที่ได้อิทธิพลจากสภาพอุตุนิยมวิทยาที่สภาพอากาศปิด ช่วงที่มีการเผาในพื้นที่ และช่วงที่ได้รับผลกระทบจากหมอกควันข้ามแดนพบว่า
พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในช่วงสถานการณ์ที่เป็นสภาวะปกติปริมาณ ฝุ่นละอองส่วนใหญ่ยังคงมีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่เมื่อได้รับอิทธิพลจากสภาพอุตุนิยมวิทยาที่มีสภาวะ อากาศปิด ลมสงบ อากาศไม่ยกตัว ทำให้ปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของสภาวะปกติ และเมื่อเกิดการเผาจะส่งผลให้ปริมาณ PM2.5 เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าของสภาวะปกติ และเมื่อได้รับผลกระทบจากหมอกควันข้ามแดน ปริมาณ PM2.5 ยังคงเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าของสภาวะปกติ
พื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ ปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ในช่วงสภาวะอากาศปิด ปริมาณฝุ่นละอองส่วนใหญ่ยังคงมีค่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เมื่อได้รับอิทธิพลจากการเผาในพื้นที่ทั้งในพื้นที่เกษตร ปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของสภาวะอากาศปิด และเมื่อได้รับอิทธิพลจากการเผาในพื้นที่ป่า ปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 เพิ่มขึ้นเป็น 6 เท่าของสภาวะอากาศปิด และเมื่อได้รับผลกระทบจากหมอกควันข้ามแดน ส่งผลให้ปริมาณฝุ่นละออง เพิ่มขึ้นเป็น 9 เท่าของสภาวะอากาศปิด
จะเห็นว่า เราเคยแก้ปัญหาฝุ่นพิษได้ไม่เลว มีองค์ความรู้ว่ามีที่มาสาเหตุจากไหนและสถานการณ์เคยมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ขาดความต่อเนื่อง
3. ที่ผ่านมา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้จัดทำมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ปี 2567
เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง โดยการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชน
ควรมีการสอบทานว่า ปีที่ผ่านมา ใครทำหน้าที่ตามแผนแค่ไหน อย่างไร ?
ตามแผน ใครจะต้องทำอะไรบ้าง? อาทิ
1) กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมกับกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษ และกระทรวงสาธารณสุข กำหนดหลักเกณฑ์ในการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน เมื่อค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง อยู่ในระดับวิกฤต (เกิน 250 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร)
2) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละออง PM2.5 ให้ทั่วถึง เท่าเทียม ทันท่วงที เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชน
3) กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร จัดเตรียมห้องปลอดฝุ่น หน้ากากอนามัย รวมถึงยารักษาโรคเพื่อรองรับสถานการณ์ฝุ่นละออง
4) สำนักนายกรัฐมนตรี โดยกรมประชาสัมพันธ์ ร่วมกับองค์กรสื่อมวลชน สื่อสารเชิงรุก ตรงจุด ต่อเนื่อง ทั้งในช่วงก่อน ระหว่าง และหลังสถานการณ์ เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการของภาครัฐ โดยเฉพาะการไม่เผาป่า ไม่เผาพื้นที่เกษตร ความตระหนักในภัยและความเสียหายจากการเผา ให้ประชาชนทั่วไปมีความตื่นตัว ร่วมกันสอดส่องและแจ้งเหตุ การปกป้องสุขภาพ การจัดการไฟในป่า
5) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมพร้อมในพื้นที่เป้าหมายหลักที่เป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการเผาซ้ำซากในป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติ ที่กำหนดไว้ 10 อันดับสูงสุด เพื่อป้องกันเข้มข้น ใช้กลยุทธ์การตรึงพื้นที่ โดยร่วมบูรณาการทุกหน่วยงาน ตรวจพบไฟป่าให้เร็วขึ้น จัดทำแผนที่เก็บหาของป่าและแผนที่เลี้ยงปศุสัตว์แผนบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่า จัดระเบียบควบคุมผู้เข้าใช้ประโยชน์พื้นที่ ทำกติการ่วม ระหว่างภาครัฐ - ชุมชน เรื่องการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่า รวมถึงการปฏิบัติการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และป่าสงวนแห่งชาติอื่น
6) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อให้ประชาชนและหรือภาคเอกชนสามารถนำใบไม้ออกจากป่าเพื่อการบริหารจัดการเชื้อเพลิงและสร้างรายได้
7) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เตรียมการเพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้กับพื้นที่ป่า (ป่าเปียก-ป่าชื้น) ในพื้นที่เสี่ยงที่กำหนด รวมถึงการจัดหาน้ำเพื่อการดับไฟในป่า ทั้งจากแหล่งน้ำธรรมชาติและน้ำบาดาล การจัดการไฟในพื้นที่เกษตรกรรม
8) จังหวัด โดยศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัดจังหวัด เพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง หมอกควัน และฝุ่นละออง กำหนดแนวทางบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่การเกษตรที่เสี่ยงต่อการเผาไหม้เพื่อไม่ให้เกิดการเผาในช่วงเวลาเดียวกัน มีข้อมูลเกษตรกร และจำนวนพื้นที่กำหนดเงื่อนไขการเผา และประกาศให้รับทราบร่วมกัน โดยเสนอให้ใช้ระบบบริหารจัดการเชื้อเพลิง (BurnCheck) เพื่อการประมวลผลในภาพรวมของประเทศ
9) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ส่งเสริมเกษตรปลอดการเผา ดังนี้ (1) พื้นที่ไร่อ้อย สนับสนุนเครื่องจักรกลให้เกษตรกรเก็บเกี่ยวเพื่อไม่ให้มีการเผา ไม่รับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบ (2) พื้นที่นาข้าว บริหารจัดการน้ำให้เหมาะสมและเท่าเทียมต่อการทำนาของเกษตรกรทุกราย เพื่อไม่ให้เผา สนับสนุนเครื่องจักรกลสำหรับอัดฟาง ไถกลบตอซัง
10) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน บริหารจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร โดยเฉพาะพื้นที่เกษตรรอบโรงไฟฟ้าชีวมวล โดยสร้างระบบรวบรวมและขนส่งจัดส่งไปยังโรงไฟฟ้าชีวมวล และการแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวล
11) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจับกุมผุ้กระทำผิดตามเงื่อนไขข้อตกลงการเผาภายใต้แนวทางการบริหารจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่การเกษตร การควบคุมฝุ่นละอองในเขตเมือง
12) กระทรวงพลังงาน ขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมัน เรื่องคุณภาพน้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำ
13) กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้บริการตรวจเช็คสภาพเครื่องยนต์ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ลดค่าน้ำมันเครื่อง ค่าแรง และค่าอะไหล่
14) กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยแจ้งให้ผู้ประกอบการควบคุมการผลิตและตรวจสอบการทำงานระบบบำบัดมลพิษทางอากาศ ให้มีประสิทธิภาพ การสนับสนุนและการลงทุน
15) ภาคเอกชน สนับสนุนการแก้ไขปัญหาไฟในป่า และพื้นที่เกษตรกรรม โดยสนับสนุนชุมชนในการจัดการดูแลป่า และการป้องกันไฟ หรือสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์การป้องกัน/ดับไฟ รวมถึงการรับซื้อสินค้าหรือผลิตผลจากป่าและสินค้าเกษตรที่ไม่มีการเผา
16) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ออกมาตรการเพื่อให้สิทธิประโยชน์ หรือแรงจูงใจกับภาคเอกชนที่ร่วมกันสนับสนุนเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 เช่นสิทธิประโยชน์ภายใต้เงื่อนไขมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคม เป็นต้น
17) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร จัดตั้งชุดปฏิบัติการประจำพื้นที่ (ระดับอำเภอ) เฝ้าระวัง ออกตรวจ ป้องปราม ระงับ ยับยั้ง แจ้งเหตุ และระดมสรรพกำลัง เครือข่าย อาสาสมัครเกษตรหมู่บ้าน (อกม.) เฝ้าระวัง และป้องกันการลักลอบเผาในพื้นที่เกษตรเสี่ยงเผาไหม้
18) ศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัด เพื่อแก้ไขปัญหาไฟป่า การเผาในที่โล่ง หมอกควัน และฝุ่นละออง บริหารจัดการไฟในพื้นที่รับผิดชอบตามข้อตกลงในบัญชีรายชื่อเกษตรกรและจำนวนพื้นที่ หากเกษตรกรต้องการเผาให้ดำเนินการขออนุญาตฝ่ายปกครองหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นก่อนการเผา โดยให้ฝ่ายปกครองหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการตามเงื่อนไขการอนุญาตเผาที่กำหนด และให้จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด โดยประมวลผลผ่านระบบบริหารจัดการเชื้อเพลิง (BurnCheck)
19) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร พัฒนาระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) การเผาในพื้นที่เกษตร และพื้นที่ป่า นำระบบการรับรองผลผลิตทางเกษตรแบบไม่เผา (GAP PM2.5 Free) มาใช้เป็นเครื่องมือ ปรับเปลี่ยนระบบการปลูกพืชและการเปลี่ยนพืช ที่มีการเผาให้ปลอดการเผา ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่สูง อ้อย ข้าว
20) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดเงื่อนไขเรื่องการห้ามเผากับมาตรการสนับสนุนต่างๆ ของ ภาครัฐ ได้แก่ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ฯ) การดูแลเรื่องราคาผลผลิต ระบบเกษตรพันธสัญญา (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) การให้สิทธิทำกินในพื้นที่ของรัฐ (สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
21) กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งรัด ดำเนินการตามแผนปฏิบัติการร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาหมอกควันข้ามแดนระหว่างประเทศไทย - สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว – สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ภายใต้ยุทธศาสตร์ฟ้าใส (CLEAR Sky Strategy) สร้างความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน จัดทำฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ PM2.5 แผนที่เสี่ยงไฟ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) การจัดการเกษตรในพื้นที่สูง
22) กระทรวงพาณิชย์ เพิ่มเงื่อนไขเรื่องการเผาในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตร ในการพิจารณานำเข้า – ส่งออกสินค้า
ฯลฯ
ทั้งหมด มีการดำเนินการแค่ไหน อย่างไร ?
และที่สำคัญ รัฐบาลปัจจุบันได้ให้ความสำคัญ สนับสนุนงบประมาณและการดำเนินการของหน่วยงานต่างๆ มากแค่ไหน?
หรือรัฐบาลยังเล่นการเมือง มุ่งแต่นโยบายลดแลกแจกแถม ตามกลวิธีซื้อเสียงล่วงหน้า หวังคะแนนระยะสั้น
ถ้าแบบนี้ คงสิ้นหวังที่ว่าลูกหลานไทยในอนาคตจะได้มีลมหายใจที่สะอาด
ตรงกันข้าม ถ้าได้รัฐบาลที่ทำตามยุทธศาสตร์ชาติต่อเนื่อง มั่นใจว่า ประเทศไทยจะไม่จมฝุ่น PM2.5 ขนาดนี้
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี