อาชญากรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือ ภัยคุกคามเข้าไปถึงในห้องนอนประชาชนคนไทย
ปราบอย่างไร ก็ปราบไม่หมด
เพราะฉะนั้น นอกจากปราบแล้ว ก็ต้องสร้างระบบที่ให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยกันป้องกันภัยอย่างแน่นหนาที่สุด
โดยเฉพาะค่ายมือถือที่ดูแลให้บริการโทรศัพท์เลขหมายต่างๆ และธนาคารที่ดูแลบัญชีการเงินของลูกค้า
นี่คือ 2 กลไกที่คนร้ายใช้ผ่านเข้าไปปล้นเงินของประชาชน ในนามแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ล่าสุด ครม.ไฟเขียว ร่าง พ.ร.ก.ปราบคอลเซ็นเตอร์ ที่กำหนดให้แบงก์-ค่ายมือถือจะต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น หากไม่ดำเนินมาตรการป้องกันจัดการ
คาดว่า กฎหมายจะมีผลบังคับใช้เดือนก.พ.นี้เลย
1. ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเสนอแก้ไขพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี รายงานในที่ประชุม ครม.ว่า กฎหมายฉบับนี้ถือเป็นประโยชน์ต่อประชาชน และจะสามารถป้องกันและปราบปรามได้มากยิ่งขึ้น
เนื่องจากขณะนี้ พบว่า ประชาชนยังได้รับความเสียหายเฉลี่ยต่อวัน 60 - 70 ล้านบาท จำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนในการดำเนินการแก้ปัญหานี้
และกฎหมายที่มีอยู่เดิม ยังขาดอำนาจหน้าที่และการกำหนดโทษ หลายๆ ประเด็น โดยเฉพาะอำนาจการดำเนินการกับบัญชีม้าบนแพลตฟอร์ม P2P, อำนาจการคืนเงินให้กับประชาชน, และการรับผิดร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนในการดำเนินการแก้ปัญหานี้
ร่างพระราชกำหนดฉบับนี้ มีสาระสำคัญ อย่างไรบ้าง
1. เพิ่มอำนาจการดำเนินการกับแพลตฟอร์มออนไลน์ P2P หรือ Peer-to-Peer Lending ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด
2.เพิ่มหน้าที่ให้สำนักงาน กสทช. หรือผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ มีหน้าที่สั่งระงับการให้บริการเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์มือถือเป็นการชั่วคราว เมื่อพบเหตุอันควรสงสัย
3.เพิ่มหน้าที่การส่งข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีม้าของธนาคารต่างๆ ไปยัง ปปง. เพื่อตรวจสอบและคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้รวดเร็วมากขึ้น
4.เพิ่มบทลงโทษแพลตฟอร์ม P2P รวมถึงธนาคารที่ไม่ปฏิเสธการเปิดบัญชีของคนร้าย
5.เพิ่มบทลงโทษผู้เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
6.เพิ่มบทลงโทษให้สถาบันทางการเงิน เครือข่ายมือถือ สื่อสังคมออนไลน์ มีส่วนรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงดิจิทัลฯ เสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ปรับรูปแบบ โดยให้รับความเห็นหน่วยงานไปประกอบการพิจารณา ซึ่งเลขาธิการกฤษฎีกา ระบุจะใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน คาดว่าประกาศบังคับใช้ได้ในเดือนกุมภาพันธ์นี้
2. ก่อนหน้านี้ คุณรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงินธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้เห็นร่าง พ.ร.ก.การปราบปรามอาชญากรรมทางไซเบอร์ ฉบับใหม่ดังกล่าวแล้ว และได้ส่งความเห็นไปให้กับรัฐบาล
โดย ธปท. เห็นด้วยที่หลายภาคส่วนจะต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหาย
เพราะการจัดการปัญหาดังกล่าว จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายทั้งผู้เสียหาย ธนาคารพาณิชย์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม (Telco) รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ
โดย ธปท. สนับสนุนหลักการที่ให้แต่ละฝ่ายมีขอบเขตความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเอง และหากทำไม่ได้ ก็ควรที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบนั้น
เพียงแต่จะใช้มาตรฐานไหนในการกำหนดว่าคนนั้นจะต้องรับผิดชอบเท่าไหร่
กรณีที่สิงคโปร์กำหนดให้ธนาคารพาณิชย์และค่ายโทรศัพท์มือถือให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบความเสียหายด้วย นั่นคือหลักการคิดของสิงคโปร์ ส่วนไทยต้องขีดมาตรฐานให้ชัดเจน ถ้าหากธนาคารพาณิชย์หรือค่ายโทรศัพท์มือถือไม่สามารถทำได้ตามมาตรฐานที่กำหนดก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบ
สมมุติ... ธปท. ออกมาตรฐานในการเปิดบัญชีใหม่ และกำหนดกระบวนการตรวจสอบขึ้นมา หากธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามไม่ได้ และบัญชีที่หลุดไปเป็นบัญชีม้าถูกมิจฉาชีพนำไปใช้ อันนี้ก็ควรเป็นสิ่งที่ธนาคารพาณิชย์ต้องรับผิดชอบ เพราะฉะนั้น จึงอยู่ที่การยึดหลักการมากกว่าว่าอะไรคือมาตรฐานที่สังคมคาดหวัง
สมมุติ... ถ้าตนบันทึกรหัสพิน (PIN) ไว้ในโทรศัพท์มือถือ แล้วมีบุคคลอื่นนำมือถือตนไปใช้ จนเกิดการรั่วไหลของรหัสพิน อันนี้ก็ถือว่าตนต้องมีส่วนร่วมในความรับผิดชอบ จะให้ Telco หรือ ธนาคารพาณิชย์มารับผิดชอบแทนไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องของการขีดมาตรฐาน
“ถ้าเกิดลูกค้าได้ดูแลตัวเองดีแล้ว เผอิญไปเสียหายที่ระบบของธนาคารที่โดนโจมตีทางไซเบอร์ สมมุติสาเหตุเกิดจากมาตรฐานของธนาคารพาณิชย์เผอิญหย่อนกว่าเกณฑ์ที่ ธปท. ได้ตั้งไว้ อันนี้ธนาคารพาณิชย์ต้องรับผิดชอบต่อลูกค้า” - รองผู้ว่าการ ธปท. กล่าว
คุณรุ่ง มัลลิกะมาส ยังระบุว่าด้วยว่า สำหรับหลักเกณฑ์มาตรฐาน ธปท.ได้ส่งความเห็นไปว่า ผู้ที่เขียนหลักเกณฑ์จะต้องเป็นรู้จักธุรกิจนั้นดีพอสมควร เช่น ถ้าเป็นเรื่องของธนาคารพาณิชย์ว่าควรรับผิดชอบแค่ไหน ธปท. จะขออาสาเป็นผู้เขียนหลักเกณฑ์นั้น เพราะ ธปท. จะอยู่บนความสมดุล โดยจะพิจารณาด้วยว่าธนาคารพาณิชย์ควรทำได้เท่าไหร่ แต่ก็คงไม่ได้ถึงขนาดให้ต้องดูแลปกป้องทุกอย่าง แต่ถ้าทำได้ถึงมาตรฐานที่ตกลงกันภายในระยะเวลาที่ไม่ได้ยาวเกินไป ก็ได้ถือว่าธนาคารพาณิชย์ได้แสดงความรับผิดชอบในส่วนนั้นแล้ว ส่วนมาตรฐานของ Telco หรืออย่างอื่น ธปท.คงไม่มีความรู้เพียงพอที่จะไปกำหนดได้ ซึ่งต้องเป็นหน้าที่ของผู้ที่กำกับดูแลในแต่ละภาคส่วนนั้นๆ เป็นผู้กำหนดมาตรฐานเหล่านั้นเช่นกัน
3. ปัจจุบัน คอลเซ็นเตอร์คือภัยใกล้ตัวชาวบ้าน ทุกคนที่มีมือถือ มีบัญชีธนาคาร ตกอยู่ในความเสี่ยงนี้
สายด่วนที่ให้ประชาชนโทรแจ้งดำเนินการ ระงับ อายัดบัญชี AOC 1441 หากโดนหลอกลวง
ปรากฏว่า ผลการดำเนินงานของ ศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ถึง วันที่ 24 มกราคม 2568 มีตัวเลขสถิติที่น่าสนใจ ดังนี้
สายโทรเข้า 1441 จำนวน 1,417,589 สาย / เฉลี่ยต่อวัน 3,143 สาย
ระงับบัญชีธนาคาร จำนวน 492,855 บัญชี / เฉลี่ยต่อวัน 1,205 บัญชี
ระงับบัญชีตามประเภทคดีสูงสุด 5 ประเภท ได้แก่ (1) หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 151,993 บัญชี คิด เป็นร้อยละ 30.84 (2) หลอกลวงหารายได้พิเศษ 116,877 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 23.71 (3) หลอกลวงลงทุน 71,761 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 14.56 (4)หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 47,002 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 9.54 (5) หลอกลวงให้กู้เงิน36,727 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 7.45 (และคดีอื่นๆ 68,495 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 13.90)
4. ไม่เพียงเท่านั้น... ล่าสุด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ยังได้เผยแพร่ข้อมูล เคสตัวอย่างอาชญากรรมออนไลน์ที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการถูกหลอกลวง 5 เคสน่าสนใจ
คดีที่ 1 คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหาย 1,972,414 บาท
ผู้เสียหายพบโฆษณาเชิญชวนเทรดหุ้นทองคำผ่านช่องทาง Facebook ผู้เสียหายสนใจจึงทักไปสอบถามรายละเอียด และเพิ่มเพื่อนทาง Line จากนั้นมิจฉาชีพสอนวิธีเทรดหุ้นต่างๆ และให้ติดตั้งแอปพลิเคชั่นเพื่อเทรดหุ้น ในช่วงแรกสามารถถอนเงินจากระบบได้ ผู้เสียหายจึงโอนเงินเพิ่ม และเทรดหุ้นได้จำนวนมากขึ้นแต่ไม่สามารถถอนเงินได้ มิจฉาชีพอ้างว่ายังเทรดหุ้นไม่ครบตามระยะเวลาที่กำหนด ต้องโอนเงินลงทุนเพิ่ม ผู้เสียหายเชื่อว่าตนถูกมิจฉาชีพหลอก
คดีที่ 2 คดีข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center)มูลค่าความเสียหาย 2,000,000 บาท
ผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านช่องทางโทรศัพท์อ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ แจ้งว่าผู้เสียหายมีรายชื่ออยู่ในบัญชีม้า หากต้องการยืนยันความบริสุทธิ์จะต้องโอนเงินจากทุกบัญชีให้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ถ้าไม่ให้ความร่วมมือจะมีความผิดตามกฎหมาย ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปจากนั้นไม่สามารถติดต่อได้ ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก
คดีที่ 3 คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ มูลค่าความเสียหาย 6,863,425 บาท
ผู้เสียหายพบโฆษณาชักชวนทำงานหารายได้พิเศษผ่านช่องทาง Facebookผู้เสียหายสนใจจึงทักไปสอบถามรายละเอียดผ่านทาง Messenger Facebook เป็นการกดถูกใจสินค้าและโพสต์โปรโมทสินค้าเพื่อเพิ่มยอดขายให้กับร้านค้า และมีการชักชวนให้ทำกิจกรรมเพื่อรับผลตอบแทนที่มากขึ้น ในช่วงแรกสามารถถอนเงินออกมาได้จริง จึงโอนเงินทำกิจกรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นจำนวนมาก แต่ไม่สามารถถอนเงินได้ มิจฉาชีพแจ้งว่ายอดเงินมูลค่าสูงต้องชำระค่าภาษีก่อนจึงจะขอถอนเงินได้ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปเมื่อโอนไปแล้วยังไม่ได้รับเงินและมีการแจ้งให้โอนเงินเพิ่มเรื่อยๆ ผู้เสียหายเชื่อว่าตนถูกมิจฉาชีพหลอก
คดีที่ 4 คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหาย 10,975,050 บาท
ผู้เสียหายพบโฆษณาเชิญชวนเทรดหุ้นผ่านช่องทาง Facebook ผู้เสียหายสนใจจึงเพิ่มเพื่อนทาง Line สอบถามรายละเอียด ต่อมามีการดึงเข้า Group Line และให้ติดตั้งแอปพลิเคชั่นเพื่อเทรดหุ้น ในช่วงแรกสามารถถอนเงินจากระบบได้ จึงโอนเงินเพิ่มและเทรดหุ้นได้จำนวนมากขึ้นแต่ไม่สามารถถอนเงินได้ มิจฉาชีพแจ้งว่าขณะนี้อยู่ในช่วงระดมทุนเทรดหุ้นตัวสำคัญที่กำลังทำราคา จะไม่สามารถใช้ระบบถอนเงินได้ ผู้เสียหายจึงติดต่อสอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ฯ จึงทราบว่าตนถูกมิจฉาชีพหลอก
และคดีที่ 5 คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล หรือวัตถุประสงค์อื่นๆ มูลค่าความเสียหาย 2,353,466 บาท
ผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านทางโทรศัพท์ อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แจ้งว่าจะมีการเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้า และจะได้รับเงินค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้าเดิมคืน โดยต้องยืนยันตัวผ่านแอปพลิเคชั่นก่อนจึงจะได้รับเงิน แล้วแนะนำให้ทำตามขั้นตอนจนถึงการสแกนใบหน้า จากนั้นได้รับข้อความว่าเงินออกจากบัญชีจนหมด ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกมิจฉาชีพหลอก
มูลค่าความเสียหายทั้ง 5 คดี รวม 24,164,355 บาท
5. ดูจากสถานการณ์ปัญหาแล้ว ต้องบอกว่า ถ้าไม่แก้ชาตินี้ จะแก้ชาติไหน
คาดว่า เมื่อใดที่กฎหมายมีผลใช้บังคับ คงจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติของค่ายมือถือและธนาคาร
เพราะจะต้องตอบสนองต่อการสกัดกั้น และการจัดการปัญหา ตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด
ถ้าล่าช้า หรือไม่ทำ ก็จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย
นับว่า เป็นแนวทางทางเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ควรได้รับการสนับสนุนอย่างยิ่ง
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี