ในการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม 2568 นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่เรียกว่า Inauguration Speech หรือสุนทรพจน์เฉลิมฉลองพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งมีความยาวพอเหมาะพอสม พอดีพองามกับกาลเทศะ แต่เต็มไปด้วยสาระเนื้อหาเกี่ยวกับทิศทาง เป้าหมาย และนโยบาย ในการนำพาประเทศ พร้อมด้วยการเปิดใจว่า อยากจะเป็นผู้นำที่จะเสริมสร้าง จัดทำสันติภาพให้กับโลกกว้าง (Peacemaker) โดยเป้าหมายดังกล่าวมีความชัดเจน ไม่อ้อมค้อม เสมือนว่าเป็นการเล่นไพ่แบบเปิดไพ่กันให้ดู
ในแง่หนึ่งก็อาจจะมีการตีความได้ว่า เป็นการบ่งบอกความก้าวร้าว และโฉ่งฉ่าง แต่อีกมุมมองหนึ่งก็อาจจะกล่าวได้ว่า เป็นการพูดจาอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา เพื่อทุกหมู่เหล่าในโลกกว้างจะได้รู้ว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะนำพาสหรัฐฯ ไปที่ไหนอย่างไร ทั้งในเรื่องภายในของสหรัฐฯ และในเรื่องภายนอกสหรัฐฯ หรือนัยหนึ่งการเมืองภายในกับการเมืองระหว่างประเทศ และฉะนั้นก็เป็นการเชื้อเชิญให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ได้มีโอกาสพินิจพิจารณาและเตรียมตัวเตรียมใจที่จะรับมือกับข้อคิด ข้อเสนอ และข้อเรียกร้องของฝ่ายสหรัฐฯ ซึ่งมีนัยว่า จะมีการข้องแวะกันแบบสันติวิธี คือการทูตและการเจรจา ด้วยว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้พูดออกมาอย่างแน่ชัดว่า ต้องการเป็นผู้จัดตั้งสันติภาพดังกล่าว
ฉะนั้น ทุกประเทศที่ทำมาค้าขายกับสหรัฐอเมริกา ก็ต้องคำนึงถึงสถานการณ์ค้าขายกับสหรัฐฯ ที่ผ่านมาว่า การค้าขายทวิภาคีระหว่างประเทศของตนกับสหรัฐฯ นั้น มีความสมดุลมากน้อยเพียงใดหรือไม่ (Balance of Trade) และหากได้ดุลมากกว่าแล้วจะพิจารณาซื้อสินค้าเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ หรือไม่? เพื่อปรับหรือเสริมสร้างดุลการค้า หรือหากว่าราคาสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ นั้นมีการขายต่ำกว่าราคาเป็นจริงอยู่ แล้วจะถูกตีความว่าเป็นการทุ่มสินค้าเข้าตลาดสหรัฐฯ หรือไม่ (Dumping)? ซึ่งจะต้องรีบแก้ไขให้ถูกต้องอย่างรวดเร็ว เป็นต้น เพราะหากมิได้ดำเนินการใดๆ แล้ว ก็จะต้องเผชิญกับการขึ้นภาษีศุลกากร สำหรับสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งแม้ว่าจะทำให้คนอเมริกันต้องซื้อสินค้าราคาที่แพงขึ้นก็ตาม
แต่ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็จะมีมาตรการเสริมสร้างการเปิดโรงงานและจ้างงานในสหรัฐฯ เช่น การลดภาษีรายได้ และการลดอัตราดอกเบี้ย พร้อมกับการปรับค่าจ้างแรงงานให้เหมาะสม เป็นต้น และในขณะเดียวกันก็จะมีการปฏิรูประบบการศึกษาและการรักษาพยาบาล เพื่อเสริมสร้างคุณภาพแรงงานและคุณภาพชีวิต
ในเรื่องการต่างประเทศ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวเรื่องการนำเอาคลองปานามาที่เชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิก กับมหาสมุทรแอตแลนติกคืนมา หลังจากที่สหรัฐฯ เคยได้มอบให้กับประเทศปานามาไปแล้วเมื่อ 40 ปีก่อน อีกทั้งยังได้แสดงความประสงค์ที่จะให้ประเทศแคนาดามารวมประเทศกับสหรัฐอเมริกาเป็นมลรัฐที่ 51 รวมทั้งประสงค์ที่จะไปซื้อผืนแผ่นดินกรีนแลนด์ที่มีสถานะเป็นเขตปกครองตนเองของประเทศเดนมาร์ก ซึ่งทั้ง 3 ประเด็นดังกล่าวก็อาจจะดูว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องการแพร่ขยายอิทธิพลของสหรัฐฯ และทำให้สหรัฐฯ เป็นรัฐจักรวรรดินิยม แต่อีกมุมมองหนึ่งก็เป็นเรื่องของการรักษาความมั่นคงของสหรัฐฯ ที่จะป้องกันมิให้รัสเซีย และโดยเฉพาะจีน เข้ามามีอิทธิพลบริเวณรอบๆ ขั้วโลกเหนือ ซึ่งจะทำให้ความมั่นคงปลอดภัยของสหรัฐฯ ถูกคุกคาม จึงจำเป็นที่จะต้องคิดอ่านป้องกันไว้
ส่วนเรื่องการจะเปลี่ยนชื่ออ่าวเม็กซิโก เป็นอ่าวอเมริกานั้น ก็จะไปบังคับขู่เข็ญใครให้คล้อยตามก็คงไม่ได้ แต่ก็มีนัยด้านความมั่นคง คือเป็นการตอกย้ำว่า สหรัฐฯ ภายใต้การนำพาของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่ยอมให้มีประเทศใดๆ เข้ามาตีท้ายครัวของสหรัฐฯ ก็เป็นเรื่องความมั่นคงปลอดภัยอีกแง่หนึ่ง
ในส่วนที่เกี่ยวกับการเสริมสร้างสันติภาพนั้น ก็อาจจะพิจารณาเดาความหรือคาดการณ์ได้ว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะเร่งยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ยุติการเป็นคู่อริกับอิหร่าน และป้องปรามมิให้อิสราเอลรุกรานอิหร่าน ไปจนถึงการปรามมิให้จีนใช้กำลังยึดครองเกาะไต้หวัน
ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะใช้วิธีการของการเจรจาเป็นหลัก ซึ่งหากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทำได้จริง โลกก็จะหายใจทั่วท้อง และความปรารถนาของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่อยากจะได้รับรางวัลสันติภาพโนเบล ก็คงมิใช่เรื่องเพ้อฝัน
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มักจะพูดจาแบบไม่มีหูรูด แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่พอจะรับกันได้ก็คือ การพูดจริงทำจริง และเป็นนักเจรจาต่อรอง ด้วยอุปนิสัยใจคอและด้วยประสบการณ์ทางด้านธุรกิจ และอย่างน้อยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ก็มีข้อแตกต่าง โดดเด่น จากนักการเมืองทั้งในอดีตและปัจจุบัน ก็คือการไม่มีลักษณะของลับลมคมใน พูดอย่างทำอย่าง พูดจาแบบลดเลี้ยวเคี้ยวคด
ส่วนเรื่องภายในเกี่ยวกับผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เรื่องการแจกแจงว่ามนุษย์มีแค่ 2 เพศ คือ หญิงและชาย และไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ ไปจนถึงสิทธิในเรื่องการทำแท้ง ก็เป็นเรื่องที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะต้องเผชิญกับการฟ้องร้องที่ศาลยุติธรรมจากผู้ที่มีความเห็นต่าง ก็เป็นเรื่องธรรมดาของสังคมประชาธิปไตยที่จะต้องติดตามกันต่อไป
วันนี้ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้จัดทำ “ระเบียบวาระการประชุม” ระดับโลกแล้ว (Global Agenda) ที่เหลือก็เป็นเรื่องที่ชาวโลก โดยเฉพาะบรรดาผู้นำทั้งหลายก็จะต้องทำการบ้าน และส่งการบ้านให้กับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะคิดอ่าน หรือประสานกันอย่างไร?
กษิต ภิรมย์
kasitfb@gmail.com
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี