นับวันเสียงของผู้คนในบ้านเมือง ที่สุดจะทนกับการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ที่มี“แพทองโพย”นายกรัฐมนตรีผู้ไร้สติปัญญาเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาลก็ยิ่งมีความรู้สึกอยากจะให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยเร็วแต่ทางออกของประชาชนนั้น นับว่ามีอยู่น้อยเต็มทน
เพราะประชาชนที่ถูกนักการเมืองอ้างชื่อไม่อาจจะพึ่งพาการตรวจสอบของฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีพรรคประชาชนเป็นแกนนำอยู่ในปัจจุบันนี้ได้
พรรคประชาชนที่อวตารมาจากพรรคก้าวไกล ซึ่งมีนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หรือ“เท้งเด็กธร”เป็นหัวหน้าพรรค และเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นั้นพึ่งไม่ได้ก็เนื่องจาก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้นำจิตวิญญาณของพรรคประชาชนพูดให้ชัดก็คือ “นายทุนพรรคตัวจริง” ได้ไปมี“ดีลลับฮ่องกง”ไว้กับ“ทักษิณ ชินวัตร”ตั้งแต่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2566
ดังนั้น การดำเนินงานทางการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรของพรรคประชาชนตั้งแต่ครั้งที่พรรคก้าวไกลยังไม่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค โดยมีนายพิธาลิ้มเจริญรัตน์ และนายชัยธวัช ตุลาธน เป็นหัวหน้าพรรคกระทั่งส่งไม้ต่อมาถึง“ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ”ในปัจจุบันนี้ จึง“สู้ไป-รอเสียบไป”
หรือแม้แต่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่พรรคประชาชนกำลังรำมวยอยู่ในเวลานี้โดยคาดว่าการเปิดอภิปรายซักฟอกน่าจะอยู่ในช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้นั้นก็อาจจะเป็นแค่“ปาหี่”ทางการเมืองแบบเล่นหรือแสดงไปตามน้ำในฐานะฝ่ายค้านเท่านั้น
ส่วนเรื่องความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการใช้อำนาจของรัฐบาลในการจี้และตรวจสอบหน่วยงานราชการต่างๆ กรณีการ“ป่วยทิพย์-ชั้น14”ของอดีตนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ที่อาจจะฉ้อฉลต่อหน้าที่ตลอดจนการบริหารราชการแผ่นดินที่ล้มเหลวซึ่งมี“แพทองโพย”นายกรัฐมนตรีอ่อนหัดเป็นผู้นำ ทั้งด้านการถลุงเงินงบประมาณของแผ่นดินอันแฝงไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่นับวันมีจะวิกฤตทรุดหนักลงไปอีกนั้นไม่มีใครเชื่อว่าพรรคประชาชนจะกล้าตรวจสอบอย่างเข้มข้นแบบตรงไปตรงมา
และก็ด้วยปัญหาการบริหารราชการแผ่นดินที่ล้มเหลวของรัฐบาลทับซ้อนที่มี“ทักษิณ ชินวัตร”เป็นผู้ชักใย โดยมี“แพทองโพย”เป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดซึ่งหมิ่เหม่ที่จะเดินไปสู่“ความวิบัติ”ของชาติบ้านเมืองจากการถลุงเงินงบประมาณแผ่นดินที่แฝงผลประโยชน์ทับซ้อนอยู่ด้วยนั้นเสียงของผู้คนในบ้านเมืองนี้ที่ดังอื้ออึงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จึงเห็นว่าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรีโดยเร็วประเทศชาติ“ฉิบหายวายวอด”แน่นอน
จากที่สุ่มมา ชาวบ้านบอกว่า “รัฐบาลชุดนี้ใช้เงินจากภาษีราษฏรแบบไม่สนใจความคุ้มค่า แก้ปัญหาเอาหน้ารอดไปวันๆน่าเสียดายเงิน ประจักษ์แล้วว่า บ่มิไก๊”, “แจกเพลิน จ่ายคล่องเพราะเป็นเงินแผ่นดินไม่ใช่เงินส่วนตัว” และ “ทำยังไงถึงจะหยุดการใช้เงินแบบนี้ได้คะ เสียดายเงินแผ่นดินค่ะ” ฯลฯ
อันที่จริงแล้ว ตั้งแต่พรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลยังไม่เคยเห็นว่าจะหาเงินเข้าแผ่นดินได้จากทางไหน นอกจากราคาคุยกับเห็นมีแต่“ลด-แลก-แจก-แถม”ควักเงินแผ่นดินออกมาถลุงอย่างเดียวปากก็โจมตีรัฐบาลชุดก่อนว่าทำให้เศรษฐกิจวิกฤต และหนักยิ่งไปกว่านั้นก็“ทักษิณ ชินวัตร” พูดย้อนขึ้นไปถึง 17-20 ปีโน่นเลยว่าบ้านเมืองแย่หลังจากตนเองถูกยึดอำนาจ
ย้อนกลับไปดูข้อมูลใกล้ที่สุด นับตั้งแต่เปิดศักราชปี 2568 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 มกราคมจากการประชุมนัดแรกของปีนี้อนุมัติมาตรการด้านการเงิน 2 โครงการ วงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาทเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินพาณิชย์
สองโครงการที่ว่านั้นก็คือ โครงการสินเชื่อปลุกพลังเอสเอ็มอี วงเงิน 1 หมื่นล้านบาทเพื่อเป็นเงินทุนเสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการให้กับเอสเอ็มอีรายย่อยและมีความเปราะบางที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 1.5ล้านบาท ดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1-3 อยู่ที่ 3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ปลอดชำระเงินต้นไม่เกิน 12เดือน โดยรับคำขอถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568
อีกโครงการหนึ่ง คือ โครงการสินเชื่อ Beyond “ติดปีก SME” วงเงิน 1 หมื่นล้านบาทเพื่อเป็นเงินทุนเสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการปรับเปลี่ยนทรัพย์สินหรือเครื่องจักรเพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจให้กับเอสเอ็มอี ที่มีรายได้ต่อปีไม่น้อยกว่า 2ล้านบาท วงเงินสินเชื่อต่อรายไม่เกิน 15 ล้านบาท ซึ่งดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1-3 อยู่ที่ 3เปอร์เซ็นต์ต่อปี เช่นเดียวกับโครงการแรก รวมทั้งการปลอดชำระเงินต้นไม่เกิน 12เดือน และรับคำขอถึงถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568 ด้วยเช่นกัน
และเพิ่งสด ๆ ร้อนๆ เมื่อวันที่ 28 มกราคมเมื่อวานนี้เอง นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เจ้าเก่าขาประจำที่มีแผลติดตัวเหวอะหวะจะขออนุมัติงบกลางของรัฐบาลจากคณะรัฐมนตรี 329 ล้านบาทเพื่อนำไปจ่ายชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถไฟฟ้า และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพหรือ ขสมก. จากมาตรการให้ประชาชนขึ้นรถไฟฟ้าฟรี 7 วันอันเนื่องมาจากวิกฤตฝุ่นพิษ “PM2.5” ซึ่งตัวเลขเดิมบอกว่าจะใช้ 140 ล้านบาท แต่เพิ่มขึ้นมาอีกเกือบ 200 ล้านบาท สุดท้ายเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้มีการพิจารณาขณะที่ตัวเลขก็ยังไม่นิ่ง มี การปรับลดลงมาอยู่ที่ 185.54 ล้านบาทหลังจากมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ไหนๆ ก็ไหนๆ พูดกันแล้ว เงินแจก 1 หมื่นบาทตามโครงการ“ดิจิทัลวอลเล็ต”ซึ่งเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนจากการ“ตกเขียว”ในการหาเสียงเลือกตั้งสส.ของพรรคเพื่อไทย นั้น จนถึงวันนี้ได้ถูกล้างผลาญไปแล้วทั้งเฟสหนึ่งและเฟสสองรวมทั้งสิ้น 1.7 แสนล้านบาท และในเร็วๆ นี้ก็เตรียมจะถลุงในเฟสสามอีกไม่ต่ำกว่า 1.4แสนล้านบาท
ไม่เพียงแต่เท่านั้น จาการเปิดเผยของนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังในฐานะประธานคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรฯ (ธ.ก.ส.) เมื่อวันที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา ปรากฏว่ากระทรวงการคลังได้ส่งคำขอการกู้เงินจากธนาคารเพื่อพัฒนาเอเชีย หรือ ADB เพื่อนำมาเป็นวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้แบงก์รัฐนำไปปล่อยกู้ต่อให้แก่ลูกค้าของธนาคาร ซึ่งก็จะเห็นว่านี่ก็กู้อีกแล้ว ส่วนตัวเลขที่จะขอกู้นั้น นายจุลพันธ์บอกว่า“วงเงินที่ขอกู้จะอยู่ในหลักหลายพันล้านบาท”
บรรทัดนี้เกือบลืมไปแล้วเชียว ยังมีอีก 5.16 พันล้านบาทที่ “มาดามแพทองโพย” ในฐานะซอฟต์พาวเวอร์ตัวแม่แต่แต่งตัวโดยใช้แบรนด์หรูราคาแพงจากต่างประเทศนำไปถลุงในโครงการซอฟต์พาวเวอร์
เงินจำนวนไม่น้อยก้อนนี้ถูกถลุงไปแบบ“โกงพ่อมึงสิ”โดยที่ไม่มีอะไรให้เห็นเป็นเรื่องเป็นราวเลยแม้แต่น้อย !
รุ่งเรือง ปรีชากุล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี